หลังจากวุฒิสภาชุดอุ้มชูอำนาจหมดวาระ 5 ปีไปแล้ว ในรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีวุฒิสภาชุดใหม่จำนวน 200 คน เข้ามาทำหน้าที่แทน
เพียงแต่มีที่มาต่างกัน อำนาจภาระหน้าที่ไม่ต่างไปจากเดิม
เว้นแต่ไม่มีอำนาจโหวตนายกรัฐมนตรีได้อีกแล้ว
มีการตั้งประเด็นถกเถียงกันมาก่อนหน้านี้ว่า สว. ชุด คสช. ตั้งมากับมือนั้น ทำหน้าที่คุ้มค่ากับเงินงบประมาณที่ต้องจ่ายไปหรือไม่
คำตอบเดียว!
คือไม่คุ้มค่าอย่างที่ควรจะเป็น เพราะเมื่อมาจากการแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจในยุคสมัยนั้นย่อมไม่มีอิสระในการปฏิบัติอย่างแน่นอน
เพราะเป้าหมายของผู้แต่งตั้งก็คือการทำหน้าที่เพื่อรักษาอำนาจให้ฝ่ายแต่งตั้ง สั่งซ้ายหันขวาหันก็ต้องว่าไปตามนั้น
โดยเฉพาะประเด็นที่มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แม้การเลือกนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เสียง เพราะมีมือหนุนมากพออยู่แล้ว
แต่เพื่อให้ชัวร์แน่นอนจึงต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ก่อน
แต่ที่บทบาทชัดเจนก็คือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งล่าสุด ที่โหวตให้ “เศรษฐา ทวีสิน” แต่ไม่โหวตให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”
นี่ก็มี “ใบสั่ง” เช่นเดียวกัน…
ดังนั้น จากนี้ไปเมื่ออำนาจตรงนี้ก็เป็นข้อดีที่จะทำให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างอิสระและเป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย
เหนืออื่นใดแม้จะไม่มีอำนาจโหวตนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังมีอำนาจอื่นๆที่มีผลต่อระบบการเมืองไทยอยู่ดี
นั่นคือการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กกต. หรือองค์กรอื่นๆ
องค์กรอิสระต่างๆเหล่านี้ล้วนมีบทบาทและหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งระบบ ซึ่งมีหน้าที่ให้คุณให้โทษตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ครม. นักการเมือง และข้าราชการ
พูดไปแล้วทั้งระบบเลยก็ว่าได้
จึงไม่แปลกที่บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองต่างก็ให้ความสนใจที่จะมีส่วนร่วมกับที่มาของ สว.ชุดใหม่นี้ แม้การได้มาค่อนข้างจะยุ่งยากและซับซ้อนก็ตาม
แรกๆทำท่าว่าจะมีผู้สนใจลงสมัครกันเป็นจำนวนมากแต่เนื่องจากการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆค่อนข้างจะเข้มงวด เนื่องจากกติกาและคุณสมบัติที่พิเศษกว่าการเลือกตั้งอย่างอื่น
นั่นทำให้น่าจะมีผู้สมัครไม่มากเท่าใดนัก
การเลือกตั้งแบบเลือกกันเองของตัวแทน 20 วิชาชีพที่ต้องลงสมัครทุกคน มิฉะนั้นไม่สามารถลงคะแนนได้ โดย กกต.ประกาศให้ยื่นใบสมัครตั้งแต่วันที่ 20-24 พ.ค.67 และให้ลงคะแนนเลือกระดับอำเภอ 9 มิ.ย. ระดับจังหวัด 18 มิ.ย. และระดับประเทศ 20 มิ.ย. จากนั้นวันที่ 2 ก.ค. จะประกาศชื่อผู้ที่ได้รับการโหวตเลือก 200 คน สำรอง 100 คน
กกต.ได้เตรียมการที่จะคุมเข้มเพื่อป้องกันการบล็อกโหวตและตุกติกการเลือกตั้ง อีกทั้งมหาดไทยก็ติวเข้มผู้ว่าฯ-นายอำเภอเพื่อป้องกันเช่นเดียวกัน
ปัญหาที่มีการคัดค้านกฎระเบียบโดยเฉพาะการไม่ให้หาเสียงหรือโฆษณาตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ แต่ กกต.อ้างว่าทุกอย่างดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ก็ดูกันต่อไปว่าผลจะออกมาอย่างไร
ที่สำคัญสามารถทำหน้าที่ตรงตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้หรือไม่?
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม