เผยแพร่ : 29 พฤษภาคม 2567 เวลา 06:48 น
![ประชาชนขอคำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการชำระหนี้ในงานที่กระทรวงยุติธรรมและสถาบันการเงิน 23 แห่งมหาวิทยาลัยสวนดุสิตจัดขึ้นร่วมกันในเดือนมกราคม (ภาพ: อภิชาติ จินากุล)](https://static.bangkokpost.com/media/content/20240529/c1_2801151_240529103716.jpg)
ประชาชนขอคำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการชำระหนี้ในงานที่กระทรวงยุติธรรมและสถาบันการเงิน 23 แห่งมหาวิทยาลัยสวนดุสิตจัดขึ้นร่วมกันในเดือนมกราคม (ภาพ: อภิชาติ จินากุล)
กระทรวงการคลังเตรียมใช้มาตรการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับบุคคลเพื่อช่วยเพิ่มรายได้ที่ใช้แล้วทิ้ง
นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเมื่อวันอังคารว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่กระทรวงจัดทำขึ้นมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ที่ใช้แล้วทิ้งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ของทั้งธนาคารของรัฐและเอกชน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลงนามในแนวคิดนี้แล้ว เขากล่าว
“มาตรการที่เราเตรียมไว้จะช่วยให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นสำหรับการใช้จ่าย แนวทางหนึ่งคือการลดภาระการชำระหนี้และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ซึ่งธนาคารกลางเห็นชอบ” นายพิชัยกล่าว
นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงมีแผนที่จะใช้เงินนอกงบประมาณเพื่อหลีกเลี่ยงภาระด้านงบประมาณ กระทรวงประเมินว่าสามารถถอนเงินจากกองทุนนอกงบประมาณได้ 1 หมื่นล้านบาท รวมประมาณ 1 ล้านล้านบาท
ในการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารได้อนุมัติการแก้ไขแผนการเงินระยะกลาง (พ.ศ. 2568-2560) ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายการคลังและการเงินของรัฐ กรอบใหม่นี้ได้รับการปรับเปลี่ยนหลังจากที่รัฐบาลเตรียมร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณเพิ่มเติม (งบประมาณกลางปี พ.ศ. 2567) รวมเป็นเงิน 1.22 แสนล้านบาท
แผนใหม่ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 0.5% ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2567 ซึ่งยังคงอยู่ในกรอบวินัยทางการคลัง
นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เรียกประชุมร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจเมื่อวันจันทร์ หลังจากที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานการเติบโต 1.5% เมื่อเทียบเป็นรายปีสำหรับไตรมาสแรก
ขณะนี้ สศช. คาดว่าการเติบโตของ GDP ในปีนี้จะอยู่ที่ 2-3% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้เล็กน้อยที่ 2.2-3.2%
การปรับลดอันดับดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความเสี่ยงภายนอกในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลัทธิกีดกันทางการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
การเติบโตของไทยในไตรมาสแรกตามหลังคู่แข่งในภูมิภาค 6 ราย ได้แก่ ฟิลิปปินส์และเวียดนามนำโดยแต่ละประเทศ 5.7% ตามมาด้วยอินโดนีเซีย (5.1%) มาเลเซีย (4.2%) และสิงคโปร์ (2.7%)