เผยแพร่ : 30 พฤษภาคม 2567 เวลา 07:47 น
![](https://static.bangkokpost.com/media/content/20240530/c1_2801848_240530083657.jpg)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบแล้วว่าอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ยังคงแข็งแกร่ง โดยทุกบริษัทมีเงินกองทุนเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด และ 98% มีเงินทุนขั้นต่ำสูงกว่าข้อกำหนด 2 เท่า
นายอเนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่งดำรงเงินกองทุนเกินข้อกำหนดขั้นต่ำ โดยร้อยละ 98 ถือเงินกองทุนเป็นสองเท่าของระดับขั้นต่ำ
ณ วันที่ 27 พฤษภาคม บริษัททั้งหมดมีกฎเกณฑ์เงินทุนสุทธิ (NCR) เพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหมดให้กับลูกค้า เขาบอกกับ บางกอกโพสต์–
ความเห็นของนายเอนกตามรายงานข่าวล่าสุดว่าหน่วยงานในไทยของบริษัทหลักทรัพย์ GMO-Z com ซึ่งเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของญี่ปุ่น จะปิดดำเนินการ เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ลดลงอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) ระบุบนเว็บไซต์ว่ายังคงเปิดให้บริการตามปกติ
จากข้อมูลจากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (Asco) มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลงติดต่อกันนานกว่า 3 ปีจาก 88,000 ล้านบาทในปี 2564 เหลือ 42,000-47,000 ล้านบาทเมื่อเทียบเป็นรายปี
ค่าธรรมเนียมคอมมิชชันลดลงเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ ส่งผลให้ผู้เล่นรายย่อยขาดทุน
“สำนักงาน ก.ล.ต. ได้พิจารณาสถานะกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์เป็นประจำทุกวัน และกำกับดูแลระบบงานของบริษัทในด้านต่าง ๆ เช่น การบริหารความเสี่ยง และการรักษาทรัพย์สินของลูกค้า” นายเอนก กล่าว
“ควรสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนว่าบริษัทหลักทรัพย์มีระบบการทำงานและสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์”
จากข้อมูลของ ก.ล.ต. บริษัทหลักทรัพย์มีทุนสุทธิต่อบริษัทเฉลี่ย 1.99 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 โดยมี NCR เฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 139%
เกณฑ์ขั้นต่ำกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องรักษา NCR มากกว่า 25 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และมากกว่า 15 ล้านบาท หากประกอบธุรกิจหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเท่านั้น
บริษัทหลักทรัพย์จะต้องรักษา NCR มากกว่า 7% ของหนี้สินและทรัพย์สินทั่วไปที่ลูกค้าวางเป็นหลักประกันสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
แอสโก้ เผยกำไรสุทธิบริษัทหลักทรัพย์ไทยร่วง 35.4% ในปีที่แล้ว เหลือ 3.8 พันล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง ความสูญเสียจากการซื้อขายหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ลดลง
อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นลดลงเหลือ 3.1% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 จาก 4.6% ในปี 2565 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 9.2%
อัตราค่าคอมมิชชันเฉลี่ยสำหรับตราสารทุน (ไม่รวมการซื้อขายที่เป็นกรรมสิทธิ์) อยู่ที่ 0.066% ลดลงจาก 0.71% ในปี 2565