การซื้อเสียงในรัฐสภาเป็นรูปแบบการเมืองสกปรกที่น่าเกลียดซึ่งปกติแล้วจะหันหลังให้กับการอภิปรายตำหนิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันสุดท้าย ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง
มันกัดเซาะระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนเหมือนสนิมในเหล็ก ทว่าดูเหมือนว่าเรา ทั้งนักการเมืองและสาธารณชน ต่างก็ยอมรับการปฏิบัติที่น่าละอายนี้ว่าเป็นเหตุเป็นผลสำเร็จ
การอภิปรายตำหนิติเตียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าการซื้อและขายเสียงที่กล่าวหาโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “กลุ่มที่ 16” ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแทงข้างหลังด้วยเช่นกัน
ส.ส.บางคนถูกกล่าวหาว่ารับ “กล้วย” (เงินสดและผลประโยชน์) จากทั้งสองฝ่ายเพื่อแลกกับการลงคะแนนเสียง
สำหรับผู้ที่เป็นมิตรกับการเมืองไทย “กลุ่มที่ 16” เป็นชื่อเล่นของกลุ่ม ส.ส. หักหลังจากพรรคการเมืองในรัฐบาลผสม
นำโดยนักการเมืองรุ่นเก๋า พิเชษฐ เสถียรราชาวัล สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (PPRP) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคขนาดเล็กและขนาดกลาง
เมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนการโต้วาทีครั้งล่าสุด ส.ส.ในกลุ่มนี้อยู่ในความสนใจของสื่อ ตบไหล่กับ กัปตัน ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการ กปปส. ที่เพิ่งสลายไปไม่นานมานี้เพื่อตั้งพรรคใหม่ เศรษฐกิจไทย (พรรคเศรษฐกิจไทย) ).
พล.อ.ธรรมนัส อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ได้เห็นหน้ากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหาโอกาสที่จะบ่อนทำลายอดีตผู้นำพรรคการเมืองของเขา
ขณะเดียวกัน นายพิเชษฐ์ กล่าวหารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งเป็นเลขาธิการ กปปส. กระทำความผิดเกี่ยวกับการประมูลท่อส่งน้ำในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม นายพิเชษฐ์ได้รับประทานอาหารร่วมกับยุทธพงษ์ จรัสเสถียร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยมีรายงานว่ากำลังหารือเกี่ยวกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานท่อประปาใน EEC
ระหว่างการโต้วาที นายยุทธพงษ์ ย่างนายสันติ บนสัมปทานท่อส่งน้ำใน EEC
นั่นอธิบายว่าทำไมกัปตันธรรมนัสถึงโมโหเมื่อรู้ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนที่เขาคิดว่าอยู่ในกระเป๋าของเขาแล้ว ได้โหวตเขาสองครั้งด้วยการลงคะแนนให้ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายค้านตำหนิติเตียน
กัปตัน ธรรมนัส บอกเป็นนัยว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนได้รับเงินเดือนมาระยะหนึ่งแล้ว และเขาไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะต่อต้านเขา
แต่อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรน่าจะเข้าใจความเป็นจริงของการเมืองไทย
หลังจากเห็นภาพออนไลน์ของสิ่งที่อ้างว่าเป็นสลิปเงินเดือนที่แสดงเงินถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่ม 16 หลายคน สมาชิกของกลุ่มปฏิเสธว่าเป็นของปลอม แต่คนอื่นๆ ก็ปิดปากเงียบ
ทว่า “งูเห่า” หรือ ส.ส.กบฏมีอยู่ในหลายพรรค รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทย และพวกเขาคัดค้านมติของพรรคการเมืองของตน
ตัวอย่างเช่น ส.ส.ปากน้ำ 6 คน ของพรรค ปชป. โหวตคัดค้าน อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ ส.ส. 2 คน โหวตคัดค้าน รมว.พาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ หัวหน้าพรรค
เมื่อกล่าวถึงการต่อต้านของกลุ่มปากน้ำ พล.อ.ประยุทธ์ก็โกรธจัด โพล่งว่าพวกเขา “กล้าดียังไง” เนื่องจากนายอนุพงษ์เป็นหนึ่งในสามพี่น้องในอ้อมแขนของตระกูล “พี” ซึ่งรวมถึงพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร
แต่ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. พล.อ.ประวิทย์ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ กับกลุ่มกบฏทั้ง 6 คน
แนวทางที่นุ่มนวลของเขาที่มีต่อกลุ่มนี้ตรงกันข้ามกับการปฏิบัติต่อกลุ่มดาวฤกษ์ นำโดย ส.ส.วัฒยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งลงคะแนนคัดค้าน ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในการอภิปรายติเตียนครั้งล่าสุด
ระหว่างการเยือนสมุทรปราการเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พล.อ.ประวิทย์สัญญากับฝ่ายปากน้ำว่าหนึ่งในนั้นจะได้รับที่นั่งในคณะรัฐมนตรีหากมีการปรับคณะรัฐมนตรี
ส.ส.ปากน้ำ 6 คนเป็นจำนวนมหาศาลที่ พล.อ.ประวิทย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. แพ้ไม่ได้ โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งหน้าเมื่อมีเดิมพันสูง พรรคเพื่อไทยฝ่ายค้านก็นิยมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสูงสุด
ในขณะเดียวกัน นายจุรินทร์ ซึ่งได้รับคะแนนความเชื่อมั่นต่ำสุดจากรัฐมนตรีทั้ง 11 คนที่ถูกฝ่ายค้านตำหนิ ดูเหมือนจะอยู่ในภาวะน้ำร้อนลวก โดยสถานะความเป็นผู้นำของเขาสั่นคลอน
นอกจาก ส.ส.กบฏ 2 คนที่โหวตไม่เห็นด้วยกับเขาแล้ว พรรคนี้น่าจะเผชิญกับการละเลยมากขึ้นในอนาคต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่มที่ 16 อาจยึด “กล้วย” ของพวกเขาไปได้แล้ว แต่พวกเขาสูญเสียอำนาจการต่อรอง โดยไม่มีการอภิปรายวิจารณ์เพื่อเกร็งกล้ามเนื้ออีกต่อไป
ไม่มีพรรคใดที่มีสติปัญญาน้อยจะต้องการพรรคพวกใด เนื่องจากความจงรักภักดีที่เปลี่ยนไปต่อใครก็ตามที่เสนอราคาสูงสุดแก่พวกเขา เว้นแต่พวกเขาจะมีศักยภาพที่จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความคิดที่ปรารถนา
ด้วยจำนวนที่นั่งแบบลิสต์ของพรรคที่ลดลงจาก 150 เป็น 100 ในระบบการเลือกตั้งแบบสองบัตรลงคะแนน ส่วนใหญ่จึงมีโอกาสน้อยที่จะได้ที่นั่งแบบลิสต์ของพรรค แต่ใครสนใจเกี่ยวกับพวกเขาล่ะ?
แล้วการซื้อเสียงในรัฐสภาซึ่งไม่น่าจะหายไปง่ายๆ ถ้ารัฐบาลชุดต่อไปมีเสียงข้างมากในสภา? อย่างน้อยที่สุด คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ควรแก้ไขปัญหาเพื่อยุติการปฏิบัติที่น่าเกลียดนี้ หากพวกเขามีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น