“ชัยธวัช” หัวหน้าพรรคก้าวไกล จ่อแถลงต้น มิ.ย. หลังส่งคำชี้แจงคดียุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญ เตรียมยกเคส “บุ้ง ทะลุวัง” ถกแนวทางนิรโทษฯ พร้อมส่งสัญญาณถึงนายกฯ-รัฐบาล หากทำนิ่งต่อสถานการณ์ ไม่ส่งผลดี
วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการชี้แจงคดีล้มล้างการปกครอง หลังศาลรัฐธรรมนูญขีดเส้นขยายเวลาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาคดียุบพรรครอบสุดท้าย ช่วงวันที่ 2 มิถุนายน 2567 ว่า จริงๆ เตรียมพร้อมแล้ว ในกรณีที่ศาลไม่อนุญาตให้ขยายเวลาเพิ่ม แต่เมื่อศาลอนุญาตขยายเวลาแบบนี้เราจะมีเวลาทำคำชี้แจงครั้งสุดท้ายให้สมบูรณ์ที่สุดเพิ่มอีก ส่วนเรื่องพยานบุคคล เมื่อศาลขยายเวลาให้เพิ่ม พรรคก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก แต่การเลือกใครไปเป็นพยานไม่ได้อยู่ในอำนาจของผู้ถูกร้อง แต่อยู่ที่ศาล ที่ผ่านมาศาลจะเรียกเฉพาะพยานที่ศาลคิดว่าจำเป็นเท่านั้น
ขณะที่คำถาม ยังมั่นใจเหมือนเดิมหรือไม่ว่าน้ำหนักคดีนี้ไม่ถึงยุบพรรค นายชัยธวัช ตอบว่า เหตุผลในการต่อสู้คดีมีหลายประเด็น ทั้งเรื่องข้อเท็จจริงที่ไม่เพียงพอที่จะกล่าวหาว่าเรากระทำการล้มล้างฯ ถึงขั้นที่จะต้องวินิจฉัยให้ยุบพรรค ซึ่งเป็นแค่ประเด็นหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีอีกหลายประเด็น ซึ่งพรรคก้าวไกลจะแถลงต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการในข้อต่อสู้ของพรรค หลังจากที่มีการยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญไปแล้วในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2567
นายชัยธวัช ยังได้กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ทะลุวัง โดยคิดว่ายิ่งทำให้สภาฯ ควรให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องคดีการเมือง และปัญหาในกระบวนการยุติธรรมจริงจังมากกว่านี้ สิ่งที่รัฐบาลและสภาฯ ทำได้มีหลายเรื่อง อาทิ การนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ที่เรื่องอยู่ในคณะกรรมการวิสามัญฯ โดยข้อถกเถียงสำคัญหนึ่งที่ยังไม่มีข้อยุติใน กมธ. คือว่าคดีที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 ควรจะเข้าข่ายได้รับนิรโทษกรรมด้วยหรือไม่ ซึ่งตั้งเป้าว่าจะมีการทำรายงานเป็นข้อเสนอต่อสภาฯ ให้เสร็จทันในการเปิดประชุมสภาสมัยหน้า โดยพรุ่งนี้ที่สภา ใน กมธ.วิสามัญฯ จะมีการคุยประเด็นเหล่านี้ โดยในระหว่างที่เรายังไม่มีข้อสรุปเรื่องแนวทางในการทำกฎหมายนิรโทษกรรม ถ้าสามารถทำร่วมกันได้โดยไม่แบ่งแยกฝ่ายค้านรัฐบาล ซึ่งสืบเนื่องจากกรณีของ บุ้ง เป็นไปได้ที่เราจะหยิบยกสถานการณ์เฉพาะหน้ามาหารือกัน
พร้อมกันนี้ นายชัยธวัช ยังอยากส่งสัญญาณไปยังรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ว่า ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ไม่เปลี่ยนไปเลย แม้ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ไม่น่าจะส่งผลดีต่อรัฐบาล และไม่น่าจะส่งผลดีต่อสังคมไทยเอง ตนยืนยันว่า ฝ่ายบริหาร รัฐบาล มีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่ามุ่งมั่นและมีนโยบายที่จะทำหรือไม่ ไม่ได้ว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องของศาลเท่านั้น หรือแม้กระทั่งในฝั่งตุลาการ ตนเชื่อว่าถ้ารัฐบาลมีนโยบายชัดเจนเราเชื่อว่าจะมีผลต่อการทำงานในชั้นของฝ่ายตุลาการด้วย ตนไม่ได้บอกว่าให้ไปแทรกแซง แต่คิดว่าถ้ารัฐบาลมีนโยบายชัดเจนนั้น มันจะมีผลแน่ๆ.