ถือเป็นความสูญเสียปูชนียบุคคลระดับตำนานไปอีกรายเส้นทางรับราชการของ พล.ต.ต.ชูเดช มัชฉิมานนท์ มีนายเพียงคนเดียวคือ พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น อดีตอธิบดีกรมตำรวจมือปราบ เขาทำผลงานเอาเม็ดเหงื่อกับความเสียสละเข้าแลกความเจริญก้าวหน้า ไม่มีเวลา “วิ่งเต้น” ประจบสอพลอ
พอผู้เป็นนายหมดอำนาจถึงเคว้งคว้าง “ไร้ที่พึ่งพา”
“ใครทำงานมาก ผิดมาก ทำน้อย ผิดน้อย โอกาสพลาดน้อย แต่พวกนี้กลับได้ดิบได้ดี” พล.ต.ต.ชูเดชสะท้อนความจริงที่สร้าง “เหลือบไร” เกาะกินรากฐานองค์กรตำรวจมาถึงปัจจุบัน
เล่าถึงความขมขื่นในชีวิตราชการเมื่อปี 2532 ตามสืบสวนจับกุมคนร้ายปล้นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปยิงทิ้งจังหวัดชลบุรี ได้รับประกาศเกียรติคุณ แต่ที่ประชุมแต่งตั้งกลับบอกไม่เหมาะสมที่จะได้เป็น “นายพล”
“ผมเก็บประกาศเกียรติคุณไว้มากมาย พอเป็นแบบนี้ ผมเลยเอาใบประกาศมาตั้ง เอาปืนยิงเปรี้ยง เปรี้ยง ได้มากี่ใบ ผมยิงทิ้งหมด เหลืออยู่ใบเดียว ท่านอธิบดีเภา สารสินมอบให้”
เจ้าตัวไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร ถึงเวลาเลื่อนตำแหน่ง ถูกกล่าวหาว่าไม่เหมาะสม “เอาอะไรมาวัด มีชื่อทุกปีจากข้างล่างแล้วไปตกในที่ประชุม ก.ตร. สรุปแล้วผมผิดอะไรไม่สบอารมณ์ผู้บังคับบัญชาหรือ” อดีตนายพลผู้ล่วงลับเคยระบายความรู้สึกไว้
ฝากข้อคิดการทำงานที่ต้องเสียสละ แต่บางครั้งอาจต้องเสี่ยงเสียครอบครัว
ยกตัวอย่าง “สิทธิพร โนนจุ้ย” ลูกน้องมากฝีมือสังกัดสืบสวนเหนือ ร่วมทำคดีเรียกค่าไถ่หลานนายแพทย์คนหนึ่งกว่าจะจับและช่วยเหลือตัวประกันได้ เล่นเอาเหนื่อยไปหลายวัน
แต่เมียไม่เข้าใจคิดว่า ไม่กลับบ้าน เพราะไปเที่ยว ถึงขนาดเอากระเป๋าเดินทางใส่เสื้อผ้าผัวมาโยนทิ้งอยู่หน้ากองสืบ
นี่แหละชีวิตนักสืบรุ่นก่อน.
สหบาท
คลิกอ่านคอลัมน์ “ส่องตำรวจ” เพิ่มเติม