กระทรวงพาณิชย์ต้องการเพิ่มมูลค่าการส่งออกอีก 19,400 ล้านบาท (ประมาณ 550 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยให้การสนับสนุนผ่านการจัดกิจกรรมกระตุ้นการส่งออกมากถึง 350 กิจกรรม
นายกีรติ รัชชโน ผู้อำนวยการใหญ่ของ กรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า จากปัจจัยเสี่ยงด้านการส่งออกในปีนี้หลายประการ ที่ประชุมจึงเห็นชอบแผนฉุกเฉินเพื่อกระตุ้นการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง
ต้องมีการร่างแผนเพื่อให้สามารถระบุตลาดเป้าหมายได้ เขากล่าว ตลาดเป้าหมาย ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และจีน ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
นายกีรติกล่าวว่า กำลังจะมีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ “วอร์รูม” เพื่อเร่งรัดการส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้ โดยมีกิจกรรมมากกว่า 350 รายการที่วางแผนไว้สำหรับครึ่งปีหลัง
“กิจกรรม 350 กิจกรรมเหล่านี้คาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่า 550 ล้านดอลลาร์หรือ 19.4 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง” เขากล่าว
กระทรวงคาดว่าจะดำเนินการตามแผนการเปิดตลาดใหม่ รักษาตลาดเดิม และฟื้นฟูตลาดเก่าผ่านกลยุทธ์หลัก เช่น เร่งการจัดตั้งกลุ่มตัวแทนการค้าเพื่อขยายศักยภาพของตลาด การส่งเสริมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน การเจรจาความร่วมมือทางธุรกิจทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ผลิตภัณฑ์หมุนเวียน ผลิตภัณฑ์สีเขียว และนวัตกรรมใหม่ และส่งเสริมการจับคู่ธุรกิจสำหรับบริการที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะ Digital Content โรงแรม ร้านอาหารและจัดเลี้ยง และร้านอาหารที่มีตราสัญลักษณ์ Thai Select
กระทรวงฯ ยังมีเป้าหมายที่จะเจาะตลาดเมืองรองมากขึ้น โดยเฉพาะในอาเซียน สหรัฐอเมริกา และยุโรป
นายกีรติกล่าวว่าเป้าหมาย 550 ล้านดอลลาร์สำหรับครึ่งปีหลังคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกรวมสำหรับปีนี้ให้อยู่ที่ประมาณ 290-293 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าช่วงเป้าหมายเดิมที่ 289-292 พันล้านดอลลาร์
ชัยชาญ เจริญสุข ประธาน สรท. กล่าวว่า การส่งออกของไทยเผชิญกับปัจจัยหลายอย่างที่คาดเดาไม่ได้ เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ซบเซา การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และค่าเงินบาทที่ผันผวน
“จำเป็นต้องเพิ่มความพยายามในการส่งเสริมการส่งออกในครึ่งปีหลัง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องทำงานร่วมกันและเชื่อว่าเราจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทั้งปีได้ 1-2% ซึ่งขณะนี้เชื่อว่าการส่งออกจะบรรลุตามเป้าหมาย จุดต่ำสุดในเดือนมกราคมปีนี้ ขณะที่ ผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ข้าว น้ำตาล และรถยนต์ ขยายตัวได้สำเร็จ นอกจากนี้ เรายังมองเห็นโอกาสในการเติบโต แม้ในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แม้ว่าอัตราการเติบโตอาจต่ำกว่านี้ ในขณะที่ตลาดใหม่อย่างเอเชียกลางและละตินอเมริกายังคงมีศักยภาพที่ดีในการเติบโต” นายชัยชาญกล่าว
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงสำหรับการส่งออก คือ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ผู้ส่งออกต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากพลังงาน ราคาก๊าซ ถ่านหิน ไฟฟ้า และการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลชุดใหม่เป็น 450 บาทต่อวัน
“เป็นเรื่องที่อันตรายหากภาคเอกชนไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าค่าจ้างที่สูงขึ้นยังกระตุ้นให้นักลงทุนรายใหม่ลังเลที่จะลงทุนในประเทศไทย และรายเดิมที่พิจารณาย้ายไปประเทศอื่น
“การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำควรกำหนดผ่านคณะกรรมการไตรภาคี ไม่ใช่กำหนดโดยนโยบายทางการเมืองเพียงอย่างเดียว พรรคการเมืองควรฟังเสียงเจ้าของกิจการ ไม่ใช่เพียงลูกจ้าง ผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการขึ้นค่าจ้างครั้งนี้คือแรงงานต่างด้าว ซึ่งมีอยู่กว่า 3 ล้านคน ขณะที่แรงงานไทยมีฝีมือมีรายได้กว่า 450 บาทต่อวัน โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เกษตร เอสเอ็มอี ท่องเที่ยว และภาคบริการที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น” นายพจน์ กล่าว