ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย (SCG) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตปูนซีเมนต์และอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีกำไรลดลง 41% เมื่อเทียบเป็นรายปีสู่ระดับ 18.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบของการรุกรานของรัสเซีย ของประเทศยูเครน
สงครามส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นและราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจเคมีภัณฑ์ของเอสซีจี ในขณะที่บริษัทมีรายได้จากหุ้นที่ลดลงด้วย นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารระดับสูงของเอสซีจี กล่าว
“เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับธุรกิจ” เขากล่าว
ประเทศไทยยังประสบปัญหาในการรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับขึ้น
แม้ว่ากำไรจะลดลง แต่เอสซีจีมีรายได้เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็นประมาณ 305,000 ล้านบาทตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน
เฉพาะไตรมาสที่สอง กำไรเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 152.5 พันล้านบาท สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจและราคาสินค้าที่สูงขึ้นตามอัตราตลาด
จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เอสซีจีได้ลดงบประมาณการลงทุนปี 2565 ลงเหลือ 70 พันล้านบาท ลดลงจากเดิมที่ 80 พันล้านบาท
“บริษัทจะเน้นไปที่แผนการควบรวมกิจการหรือโครงการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอย่างรวดเร็วแก่บริษัท” นายรุ่งโรจน์กล่าว
6 เดือนแรกของปีนี้ เอสซีจีทุ่มงบลงทุน 22.4 หมื่นลบ. โดย 58% ไปธุรกิจเคมีภัณฑ์ 23% สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง 14% เพื่อสนับสนุนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และ ส่วนที่เหลืออีก 5% สำหรับวัตถุประสงค์อื่น
งบประมาณส่วนใหญ่ใช้ไปกับการพัฒนาโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ในเวียดนาม
“LSP คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566” นายรุ่งโรจน์กล่าว พร้อมเสริมว่าขณะนี้การก่อสร้างแล้วเสร็จมากกว่า 90%
เอสซีจีเชื่อว่า LSP จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเติบโตของรายได้ให้กับเอสซีจี เคมิคอลส์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีของเอสซีจี
LSP เป็นโครงการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทในเวียดนามและอาเซียน
เอสซีจีติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมนำแผนธุรกิจหลักมาเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัท ลดต้นทุน พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม และใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น