“พล.อ.รังษี” มองเส้นตายบ้านหนองจาน คือไฟต์บังคับ รัฐบาลต้องเร่งทวงคืนอธิปไตย ใช้กฎหมายสากล แต่ถ้าอีกฝ่ายยิง ก็ควรใช้ทหารเข้าปะทะ มองเป็นการรักษาอธิปไตยที่ทั่วโลกทำกัน
วันที่ 10 ต.ค. 68 พล.อ.รังษี กิตติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ และอดีตผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าวไทยรัฐ ถึงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดน บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ซึ่งหลายคนมองว่าเป็น “วันขีดเส้นตาย” ต้องให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ แต่ส่วนตัวมองว่า นี่ไม่ใช่แค่วันขีดเส้นตาย แต่เป็นวันเริ่มเข้าสู่แผนปฏิบัติการทวงคืนแผ่นดินไทย โดยเน้นการบังคับใช้กฎหมายตามหลักสากล
พล.อ. รังษี บอกว่า การดำเนินการในวันนี้จะเป็นการใช้กลไกของรัฐหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และฝ่ายปกครอง เพื่อดำเนินการกับชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตย หลบหนีเข้าเมือง และสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ของไทย โดยมองว่านี่คือไฟต์บังคับ ที่รัฐบาลต้องทำเพื่อรักษาอธิปไตยและทำให้กฎหมายไทยศักดิ์สิทธิ์
“หากวันนี้ชาวกัมพูชาไม่ยอมออกจากพื้นที่ หรือเพิกเฉย รัฐบาลจะต้องใช้กลไกตามหลักสากล ในการบังคับใช้กฎหมาย จะใช้ทหารโดยไม่ได้ แต่เมื่อไรที่ทางทหารกัมพูชาใช้อาวุธยิง ก็สมควรใช้ทหารไทยเข้าไปปะทะ” พล.อ. รังษี กล่าว
พล.อ.รังษี ยืนยันว่าการดำเนินการนี้ไม่ใช่การใช้ความรุนแรง แต่เป็นการรักษาอธิปไตยที่ทั่วโลกทำกัน หลังถูกลุกล้ำมานานกว่า 46 ปี โดยเชื่อว่ายูเอ็นและทั่วโลกรับทราบปัญหานี้ดี และการที่กัมพูชาจะไปร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่มีน้ำหนัก
ส่วนท่าทีของสหรัฐอเมริกาและจีนที่ถูกมองว่าเอนเอียงไปทางกัมพูชา พล.อ. รังษี เชื่อว่าทั้งสองประเทศไม่ได้ต้องการมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาชายแดนอย่างจริงใจ แต่เป็นการพยายาม “รักษาดุลทางภูมิรัฐศาสตร์” เพื่อไม่ให้สูญเสียพันธมิตรทั้งสองฝ่าย ไทยจึงต้องสร้างสมดุลทางยุทธศาสตร์ และต้องไม่ยอมให้มหาอำนาจทั้งสองมาตั้งฐานทัพในประเทศโดยเด็ดขาด
พล.อ.รังษี ยังมองว่าสถานการณ์นี้เป็น “สงครามลูกผสม” ที่รวมถึงสงครามเศรษฐกิจ ซึ่งการปิดด่านไม่ทำการค้า ส่งผลให้เศรษฐกิจกัมพูชาเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง
พล.อ. รังษี ยังเน้นย้ำไปถึงกองทัพว่า การแก้ไขปัญหาต้องยึดหลักสากลและรักษาอธิปไตยอย่างเคร่งครัด ควรยกเลิก MOU 43-44 ที่ล้าสมัยและไปต่อไม่ได้ ต้องเจรจากันใหม่
หากวันนี้สถานการณ์ที่สระแก้วไม่มีความคืบหน้า และไม่สามารถผลักดันชาวกัมพูชาออกจากอธิปไตยของไทยได้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทันที เพราะท่านไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ แม้จะมอบอำนาจให้กองทัพ 100% ก็ตาม ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์การเป็นผู้นำของนายอนุทินในเรื่องแรกที่มีผลต่อความชอบธรรมทางการเมือง
