“พิชิต ชื่นบาน” ลั่น สำนักพุทธ ต้องกล้าชี้ผิดชี้ถูกเด็กเชื่อมจิต 17 พ.ค. เตรียมให้ ผอ.สำนักพุทธ แถลงข้อมูลเพิ่ม เผยเตรียมให้นโยบายต้องปฏิบัติการเชิงรุก พร้อมจ่อปรับปรุงการทำงานศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล เป็นศูนย์ 1111 ทำเนียบช่วยได้
วันที่ 15 พ.ค. 2567 เมื่อเวลา 13.00 น. ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีเด็กเชื่อมจิตว่า หลังประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตั้งคณะกรรมการทำงานตรวจสอบ กลั่นกรอง ข้อมูล ข่าวสาร และการกระทำอันอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา โดยมี นายบุญเชิด กิตติธรางกรู เป็นประธาน เพื่อมาตรวจสอบกรณีเด็กเชื่อมจิต ตนเป็นคนเอาจริงเอาจังจะไม่ให้สำนักพุทธนิ่งเฉย เพราะเป็นเรื่องที่สังคมต้องได้รับความกระจ่าง แม้สำนักงานพุทธศาสนาจะไม่มีอำนาจในการดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่หากเด็กเชื่อมจิตไปล่วงล้ำกฎหมายบ้านเมืองก็เป็นเรื่องหนึ่ง เวลานี้ ตนได้ให้นโยบายผู้อำนวยการสำนักพุทธ ว่า ทางสำนักพระพุทธศาสนาต้องกล้าชี้ผิดชี้ถูก กรณีเชื่อมจิต เชื่อมได้หรือไม่ได้ เมื่อตนมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กำกับสำนักพุทธศาสนา สำนักพุทธต้องกล้าหาญ ต้องกล้าชี้ ซึ่งเป็นเหตุที่ต้องคุยกันมาตลอดหลังจากรับตำแหน่ง และทาง ผอ.สำนักพุทธฯ ได้มีการรายงานว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมา และพิจารณาเรื่องดังกล่าว เมื่อประมวลเรื่องแล้ว ก็จะนำเสนอที่ประชุมมหาเถระสมาคมในวันที่ 20 พ.ค.
นายพิชิต กล่าวว่า สังคมติดตามเรื่องนี้อยู่ตลอด ดังนั้น วันที่ 17 พ.ค. เวลา 10.00 น. ที่จะมีการแถลงข่าววันวิสาขบูชาโลก ตนจะให้ ผอ.สำนักพุทธ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตำรวจ มาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับสื่อมวลชน ซึ่งเขาจะมายืนยันบางอย่าง ซึ่งอยากจะให้สำนักพระพุทธศาสนาเป็นคนพูดเอง เพราะตนได้ให้นโยบายไปแล้วว่าเราต้องกล้าหาญ ว่ากรณีเชื่อมจิตทำได้หรือไม่ หรือตกลงแล้วขัดต่อพระไตรปิฎกหรือขัดต่อเรื่องใดในพระพุทธศาสนาหรือไม่ ซึ่งก็จะได้รับความกระจ่าง ดังนั้น เรื่องนี้เป็นที่มาที่ตนบอกว่าศรัทธาอย่าแกว่ง ธรรมะไม่ใช่เรื่องซื้อขาย และตอนนี้ทาง ผอ.สำนักพุทธ บอกว่ามีข้อมูลครบทุกอย่าง และเราจะได้เห็นกันว่ากรณีเชื่อมจิตมีจริงหรือไม่ และทำได้หรือไม่ เพราะเมื่ออิงหลักพระพุทธศาสนาและตามกฎกระทรวง ก็ถือเป็นหน้าที่และภารกิจของสำนักพุทธ กรณีนี้ไม่ใช่กรณีแรก ยังมีอีกหลายกรณี ตนจึงให้นโยบายกับสำนักพุทธ สำนักพุทธต้องปฏิบัติการเชิงรุก เร็วๆ นี้ตนขอให้ ผอ.สำนักพุทธ เชิญ ผอ.สำนักงานพุทธศาสนาทุกจังหวัดทั่วประเทศมาให้นโยบายว่าการปฏิบัติการเชิงรุก เพื่อให้หลายฝ่ายพอใจจะดำเนินการอย่างไร
นอกจากนี้ นายพิชิต ยังรับหนังสือร้องเรียนจาก นายวิเชียร สมฤทธิ์ นายก อบต.นาพู และ นายปานศร ภมรคนธ์ นายอำเภอวังชิ้น จ.แพร่ ขอให้ช่วยแก้ปัญหาป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ทับซ้อนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ต.นาพูน โดยที่ นายปานศร กล่าวว่า มีราษฎรอยู่อาศัยตามประกาศแนบทับกฤษฎีกา พ.ศ.2488 ให้ทำกินได้ แต่ในปี 2511 มีการประกาศเขตป่าสงวนทับซ้อนที่ทำกิน และตั้งแต่ปี 2548 ชาวบ้านได้มีการร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตลอด ซึ่งบางคนได้รับ สค.1 หรือ ส.ป.ก.หรือ นส.3 แต่ไม่ได้โฉนด ไม่สามารถแปลงสินทรัพย์เป็นทุนได้ โดยที่ นายพิชิต กล่าวว่า จะตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีการปรับปรุงการทำงานศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล เป็นศูนย์ 1111 ทำเนียบช่วยได้ โดยจะนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารวมไว้ที่ศูนย์นี้ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม รวมถึงอดีตข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยงาน เช่น อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชน เพราะส่วนใหญ่เรื่องร้องเรียนจะเป็นเรื่องสิทธิที่ดินทำกิน นอกจากนี้จะประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาร่วมเป็นคณะทำงานด้วย ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับการยกกระทรวงมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล.