“วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” เปิดหลักฐาน นายกฯ แพทองธาร ทำนิติกรรมอำพรางเลี่ยง “ภาษีการรับให้” สูง 218.7 ล้านบาท ออกตั๋ว PN ให้คนในครอบครัว “ซื้อเชื่อ” แทนการจ่ายเงิน เจอฝั่งเพื่อไทยประท้วงวุ่น ไม่รู้สี่รู้แปด เสียดสีผู้หญิง ไม่มี gender lens
เมื่อเวลา 9.37 น. วันที่ 24 มีนาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวอภิปรายว่า น.ส.แพทองธาร มีการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยง “ภาษีการรับให้” มาตั้งแต่ปี 2559 ทำตัวหนีภาษี แล้วความเป็นธรรมเรื่องภาษีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ตนเองจึงอยากให้ประชาชนได้รู้ว่า คนอย่างน.ส.แพทองธาร ใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลีกเลี่ยงภาษี ทำนิติกรรมอำพราง เป็นการซื้อปลอม โดยไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชนและขัดขวางการพัฒนาประเทศ
จึงขอถามว่าที่นายกฯ โอนหุ้นบริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับจำกัด ให้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มารดา จำนวน 22,410,000 หุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท และโอนหุ้นบริษัทประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด ให้นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว มูลค่า 169.4 ล้านบาท มูลค่า 393.5 ล้านบาทนั้นเป็นการให้หรือขาย เพราะต้องเสียภาษีการรับให้ 18.2 ล้านบาท นั้นได้ดำเนินการแล้วหรือยัง
โดยนางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ได้ขอประท้วงนายวิโรจน์ ทำให้นายวิโรจน์ กล่าวว่า “ร้องกี้ก่อนได้ไหมครับ” จากนั้นนางนุชนาถ ได้กล่าวว่า “ท่านวิโรจน์ ไม่รู้สี่รู้แปด” นายวิโรจน์ จึงย้อนว่าผู้ประท้วง ประท้วงตามขอสัญญาว่าจ้างข้อไหนดีกว่า นางนุชนาถ จึงขอให้ถอนคำพูด นายวิโรจน์ จึงตอบโต้ว่า “ก่อนที่จะถอน ขอให้ ร้องกี้กี้ สัก 2 ครั้งได้ไหมครับ” นางนุชนาถ จึงโต้แย้งว่า ขอให้ถอนคำว่า “กี้กี้ด้วย” นายวิโรจน์ จึงกล่าวว่า “ได้ครับ ผมจะถอนคำว่า กี้กี้ ด้วยครับ จะได้นั่งลง” นางนุชนาถ จึงย้ำว่า ท่าน สส. ไม่รู้สี่ รู้แปดก็อย่างนี้แหล่ะ
จากนั้นนายวิโรจน์กล่าวต่อไปว่า มนุษย์มนาทั่วไปที่พอจะมั่งมีเสียหน่อย เวลาจะให้ใคร ถ้าไม่อยากจะจ่ายภาษีการรับให้ ก็จะทยอยให้ปีละไม่เกิน 10 ล้านบาท 20 ล้านบาท ถ้าอยากจะให้ทั้งก้อนตัดจบไปเลย ส่วนที่เกินก็ต้องจ่ายภาษีการรับให้ แบบตรงไปตรงมา 5%
แต่แทนที่ น.ส.แพทองธาร จะทำเหมือนกับที่มนุษย์มนาทั่วไปเขาทำกัน กลับมีพฤติกรรมใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ มาตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา โดยเรื่องนี้สามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สินของน.ส.แพทองธาร ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. พบว่าน.ส.แพทองธารเป็นลูกหนี้อยู่ 9 รายการ มูลค่าหนี้สินรวม 4,434.5 ล้านบาท พอมาดูที่รายละเอียดของเอกสารประกอบ หนี้สิน 9 รายการที่ว่า มูลค่าสูงถึง 4,434.5 ล้านบาท กลับมีเอกสารแนบมาเพียงแค่ 9 แผ่น รายการละ 1 แผ่น ดังนั้นหนี้สินของน.ส.แพทองธาร ทั้ง 9 รายการที่ระบุเอาไว้ที่บัญชีทรัพย์สิน ที่มีเอกสารแนบแค่ 9 แผ่น รายการละแผ่น จึงไม่ใช่หนี้ที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาเงินกู้แน่ๆ แต่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตั๋ว PN ซึ่งเป็นหนี้สินที่น.ส.แพทองธาร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ แบบ “ซื้อเชื่อ” แล้วออกตั๋ว PN แทนการจ่ายเงิน
ทำให้ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกประท้วงว่า ขอให้รับผิดชอบ ในการนำเอกสารมาอภิปราย หากไม่ใช่ข้อเท็จจริง นายวิโรจน์ กล่าวว่า “ประเด็นที่ตนอภิปรายเป็นบัญชีทรัพย์สินของนายกฯ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริวารอย่ายุ่งเลยครับ” ทพญ.ศรีญาดา จึงขอให้ถอนคำพูด นายวิโรจน์ จึงกล่าวว่า ท่านเป็นหมอฟันถอนบ่อยอยู่แล้ว จึงขอถอนคำว่าบริวารออกก็ได้
จากนั้น นายวิโจน์ ได้กล่าวอภิปรายต่อว่า น.ส.แพทองธารได้หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท มาจากพี่สาว โดยเป็นการซื้อเชื่อ โดยที่ น.ส.แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่สาวเลยแม้แต่บาทเดียว ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 4 ใบ ให้พี่สาวไปนอนกอด หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท เปลี่ยนมือจากพี่สาว ไปอยู่ในมือของ น.ส.แพทองธาร เป็นที่เรียบร้อย โดยพี่สาวเป็นเจ้าหนี้ที่แสนดี ไม่กำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่สาวเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่สาวก็ไม่คิด นี่คือการซื้อหุ้นจากพี่สาว หรือเจตนาแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่สาวกันแน่
กรณีพี่ชายก็เหมือนกัน น.ส.แพทองธารได้หุ้นมูลค่า 335.4 ล้านบาท มาจากพี่ชาย โดยการซื้อเชื่อ โดยที่แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่ชาย เพียงแต่ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 1 ใบ ให้พี่ชายเก็บเอาไว้ ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่ชายเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่ชายก็ไม่คิด ตกลงแล้วมันคือการซื้อหุ้นจากพี่ชาย หรืออันที่จริงแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่ชาย
กับลุง กับป้าสะใภ้ และกับแม่ ก็ทรงเดิม น.ส.แพทองธารได้หุ้นมาจากลุงมูลค่า 1,315.5 ล้านบาท ได้หุ้นมาจากป้าสะใภ้มูลค่า 258.4 ล้านบาท และได้หุ้นมาจากแม่มูลค่า 136.5 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อเชื่อ น.ส.แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับลุง ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับป้าสะใภ้ ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับแม่ แต่ออกตั๋ว PN ให้ลุงเอาไปกอด 2 ใบ ให้ป้าสะใภ้ และแม่ไปเก็บไว้ใต้หมอนคนละใบ อย่างนี้ตกลงเป็นการซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาจากการให้ ของ ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ กันแน่
โดยนายวิโรจน์อธิบายว่าจุดแตกต่างระหว่าง “การได้หุ้นจากการให้” กับ “การซื้อหุ้น” ก็คือ ถ้า น.ส.แพทองธาร ได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ แพทองธาร ก็ต้องเสีย ‘ภาษีการรับให้’ ให้กับรัฐ แต่ถ้า น.ส.แพทองธาร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และเมื่อคำนวณรวมแล้ว น.ส.แพทองธาร ใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้เป็นเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบประเทศชาติ ล้วนชี้ชัดได้ว่า บุคคลคนนี้มีจิตละโมบ ที่คอยคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเลย
“หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ในมาตรา 50(9) ของรัฐธรรมนูญ ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ ลำพังแค่จะทำหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทย แพทองธาร ชินวัตร ยังทำให้ดี ทำแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ แล้วจะมีหน้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีของประชาชนคนไทยได้อย่างไร”
นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จึงขอประท้วงว่า อย่าออกทะเลไปไกล จินตนาการภายในครอบครัว ซึ่งไม่เกี่ยวกับการอภิปรายนายกฯ ต่อมานางนุชนาถ ได้ขอประท้วงอีกครั้งว่า นายวิโรจน์จินตนาการกว้างไกล ติดหนังจีนมากไปรึเปล่า
นายวิโรจน์ จึงอภิปรายต่อว่า พฤติกรรมนิติกรรมอำพราง ที่ใช้ตั๋ว PN หนีภาษีการรับให้มูลค่า 218.7 ล้านบาท ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า คนอย่างน.ส.แพทองธาร มีแต่ความทุจริตเป็นที่ประจักษ์ วันๆ เอาแต่เสาะหาช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้กับตนเอง จุ๊บๆ จิ๊บๆ ก็เอา เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เว้นหนีภาษีแบบนี้ “ไม่ใช่แค่เป็นนายกฯ ไม่ได้นะครับ เป็นแค่คนปกติก็ยังเป็นไม่ได้ แพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่แค่ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะลุก เดิน ยืน นั่ง ในทำเนียบรัฐบาล แม้แต่ตามถนนหนทาง ตามตรอกซอกซอย ในประเทศนี้ คนหนีภาษีอย่างแพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่มีหน้าที่จะเดินหน้าตั้ง คอตรง สู้หน้าประชาชนได้อีกต่อไป”
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะต้องมีการร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. แน่ๆ ซึ่ง ป.ป.ช. มีอำนาจตามมาตรา 234 ของรัฐธรรมนูญ ในการไต่สวนและมีความเห็นต่อกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และพิจารณาส่งสำนวน และความเห็นของ ป.ป.ช. ไปที่ศาลฎีกาต่อไป ผมเชื่อว่าพฤติกรรมเช่นนี้ แพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่รอด
“แพทองธาร ชินวัตร การเสียภาษีอย่างถูกต้อง เป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุด คนๆ นี้ ยังทำอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ ประชาชนเขาหวังฝากความหวังไว้กับผู้นำ แต่กลับได้โจรใส่อาภรณ์ขุนนางสวมรองเท้าไข่มุก”
ทั้งนี้ระหว่างการอภิปราย นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวประท้วงว่า ไหนบอกมีลุงไม่มีเรา วันนี้มีลุงแล้วไม่ใช่เหรอ จึงคึกคะนอง เสียดสีเต็มๆ นอกจากนี้ ทพญ.ศรีญาดา ยังได้ประท้วงกรณีที่นายวิโรจน์ว่านายกฯ สวมรองเท้าไข่มุกว่า เป็นการเสียดสี นายวิโรจน์ ไม่มี gender lens ทั้งที่สภาฯ มีการรณรงค์เรื่องนี้
นายวิโรจน์ จึงอภิปรายปิดท้ายว่า “ปากที่ตัวเองเคยพูดว่ามีกินมีใช้ ไปพร้อมๆ กัน ที่แท้ก็คือการหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้มีกินกันเฉพาะกงสี ให้ได้อิ่มหมีเฉพาะตระกูล แพทองธาร ชินวัตร นายกหนีภาษี ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแล้ว ได้เวลาออกไปจากไทยคู่ฟ้า กับกงสีบ้านจันทร์ส่องหล้าของคุณได้แล้ว จบแล้วครับ กี้”
ทำให้นางนุชนาถ ประท้วงอีกรอบว่ามีการเสียดสี เหมือนคนจะไม่ได้อยู่ในสภาฯ อีกแล้ว ทำให้น.ส.สิริลภัส กองตระการ สส.กทม. พรรคประชาชน ประท้วงตอบโต้ว่า “มีการเสียดสีเหมือนกัน ระวังนะคะเป็น 1 ใน บิงโก้ ตำแหน่ง สทร. ไม่ได้มีอยู่แค่คนเดียว”