ครบวาระแล้วสำหรับ “สมาชิกวุฒิสภา (สว.)” แต่ยังคงรักษาการมีอำนาจเต็มทั้งพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และให้คำแนะนำหรือเห็นชอบผู้จะไปนั่งเก้าอี้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญไปจนกว่าจะมี สว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ต่อในสภาสูง
ถ้าดูไทม์ไลน์ตามที่ “ครม.” เห็นชอบให้ กกต.ออกพระราชกฤษฎีกาเลือก สว.ชุดใหม่ 200 คน ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบใหม่ที่ “ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาก่อน” ในการเลือกกันเองจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะหรือประโยชน์ร่วมกัน โดยกำหนดการรับสมัครในวันที่ 13 พ.ค.2567
เริ่มทำการเลือก สว.ระดับอำเภอวันที่ 9 มิ.ย. เลือก สว.ระดับจังหวัดในวันที่ 16 มิ.ย. และเลือก สว.ระดับประเทศในวันที่ 26 มิ.ย. ก่อนที่ กกต.จะประกาศผลรับรอง สว.ชุดใหม่ 200 คน ในเดือน ก.ค.2567 ต่อไป
นับเป็นทางเลือก สว.แบบใหม่ที่แปลกแหวกแนวที่สุด เรื่องนี้ รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้ปาฐกถาเรื่องเหลียวหลังแลหน้าวุฒิสภาไทยเอาอย่างไรกันต่อดีว่า ตอนนี้ทั่วโลกเผชิญเกมของคนชั้นนำ “ไม่อยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย” แต่ด้วยยุคนี้ยากที่จะทำรัฐประหารต้องใช้วิธีแนบเนียนขึ้น
ดังนั้นโลกปัจจุบัน “การรัฐประหาร” เป็นจุดเริ่มต้นการทำลายประชาธิปไตย “ไม่ใช่จุดสิ้นสุดประชาธิปไตย” เพราะเมื่อทำรัฐประหารมักไม่สามารถปกครองตลอดได้โดยไม่มีการเลือกตั้ง ฉะนั้นจะทำกันอย่างไร
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajTQ2xsKKgqBZU4HwAWhYZX0PY43C1.jpg)
เช่นนี้อยากให้คิดแบบ “เกม” หากเป็นชนชั้นนำไม่อยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย แต่ถูกบีบด้วยกระแส และค่านิยมการเมืองโลกที่มีประชาธิปไตยเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ โดยเกมชนชั้นนำจะมีอยู่ 3 กลวิธีที่นำมาใช้ในการขัดขวางประชาธิปไตย และทำลายประชาธิปไตยอ่อนแอ คือ 1.เปลี่ยนกติกา ด้วยการร่างกติกาให้ตัวเองได้เปรียบ
ข้อ 2.คุมกรรมการ ไม่ใช่เฉพาะแค่กรรมการจัดการเลือกตั้ง แต่ยังมีองค์กรอิสระต่างๆที่จะนำคนของตัวเองเข้าไปใส่ให้ควบคุมประชาธิปไตยได้ สุดท้ายข้อ 3.ทำให้ฝ่ายค้านของชนชั้นนำอ่อนแอ ด้วยวิธีง่ายที่สุดคือ “ยุบพรรคฝ่ายค้าน” ฉะนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งก็จะการันตีการควบคุมการเลือกตั้งได้นำไปสู่การชนะการเลือกตั้งนั้น
ถ้ามาดู “บริบท สว.ไทย” ก็เป็นข้อต่อจิ๊กซอว์ในเกมชนชั้นนำเชื่อมต่อเทคนิคการครองอำนาจเข้าด้วยกันเพราะการเปลี่ยนกติกาถูกเขียนขึ้นมาแล้วทำได้ยาก อย่างกรณี รธน.2560 แม้ สส.จะเห็นชอบ 100% แต่ถ้า สว.1 ใน 3 ไม่เห็นชอบก็จะขัดขวางไม่ให้แก้กติกาที่เป็นประชาธิปไตยได้ แถมมีหน้าที่รับรองผู้ที่จะไปนั่งอยู่องค์กรอิสระด้วย
องค์กรอิสระเหล่านี้ก็เป็นฟันเฟืองสำคัญสามารถทำให้ “ภาคประชาชน และพรรคฝ่ายค้านอ่อนแอลง” โดย สว.เป็นคนให้ดำเนินองค์กรเหล่านั้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ภาพรวมที่เกิดขึ้นกันทั่วโลกในขณะนี้
หากย้อนมาดู “ประวัติศาสตร์ สว.ไทย” ค่อนข้างสะท้อนความผันผวนของประชาธิปไตยไทย ถ้าเทียบกับในหลายประเทศ สว. ส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งยึดโยงประชาชน เพียงแต่สำหรับ “ประเทศไทย” เกือบตลอดประวัติศาสตร์ สว.ทำหน้าที่ค้ำจุนระบอบอำนาจนิยมมากกว่าการทำหน้าที่ส่งเสริมประชาธิปไตย
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajTQ2xsKKgqBZU4HlS04w151k58zrJ.jpg)
ด้วยการเริ่มจากการ “รัฐประหาร 2490” ที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยเริ่มเข้าสู่วงจรอุบาทว์ นับตั้งแต่นั้นมีสรุปไว้ 3 ข้อ คือ 1.สว.ไทยเกือบทุกชุดทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย 2.สว.ยังมีหน้าที่รักษาระเบียบการเมือง เศรษฐกิจ แบบคณาธิปไตยของชนชั้นนำกลุ่มน้อย อันเป็นเครือข่ายอุปถัมภ์ขนาดใหญ่
และ 3.สว.ไทยไม่ได้ถูกออกแบบให้ตรวจสอบ “รัฐบาล” แต่เป็นส่วนขยายของรัฐบาล ทำหน้าที่ค้ำจุนระบอบมากกว่าการทำหน้าที่ตรวจสอบ “ยกเว้นรัฐธรรมนูญ 2540” ดังนั้นขอสรุปว่า “สว.ไทย” มักเป็นพื้นที่ที่ถูกใช้สร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ของชนชั้นนำที่อาจต้องถึงเวลาแก้ไขกันแล้วหรือไม่
ถ้ามาดูไทม์ไลน์แบบย่อยสำหรับ “การก่อกำเนิดประชาธิปไตย” ในสมัยปี 2475-2489 มีลักษณะเป็นสภาเดียวแล้ว “สว.” ก็เริ่มมีครั้งแรกจากการเลือกตั้งโดยอ้อมในปี 2489 อันเป็นสภาสูงที่เรียกว่า “พฤฒสภา” เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงในระยะตั้งไข่ของประชาธิปไตยจน “เกิดรัฐประหาร 2490” คราวนี้จึงเป็นครั้งแรกของการมี สว.แต่งตั้ง
พอมาถึงยุค “รัฐบาลถนอม กิตติขจร” สว.ที่ถูกแต่งตั้งก็เลือกนายกฯได้ครั้งแรก และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมถึงมีสิทธิวีโตกฎหมายที่ สส.นำเสนอให้ตกก็ได้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามมีรัฐประหารก็มักจะได้ สว.แต่งตั้งขึ้นมา จนมาถึงจุดเปลี่ยนจาก “พฤษภาทมิฬ 2535” ที่เกิดกระแส และความต้องการปฏิรูปการเมืองในปี 2540
แล้วก็นำมาสู่การเปลี่ยนแปลง “สว.ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด” นับเป็นความก้าวหน้าที่ประชาชนมีสิทธิเลือก สว.เป็นครั้งแรกในปี 2543 แล้วสิ่งที่มาจาก “การเลือกตั้ง สว.” รัฐธรรมนูญ 2540 ได้สร้างองค์กรอิสระขึ้นมามากมายแล้วให้อำนาจของคนที่จะไปอยู่องค์กรอิสระต้องขึ้นอยู่กับ สว. จนอำนาจตกค้างมาถึงทุกวันนี้
ต่อมาปี 2549 “เกิดรัฐประหาร” ก็ได้ออกแบบใหม่เป็น “สว.คนละครึ่ง” มาจากเลือกตั้งส่วนหนึ่ง และแต่งตั้งส่วนหนึ่ง ล่าสุดในปี 2560 “คสช.” ออกแบบระบบพิสดารโดยมีบทเฉพาะกาล 5 ปีแรกให้ คสช.แต่งตั้งทั้งหมด และให้ สว.มีอำนาจเลือกนายกฯได้โดยตรงที่ “ไม่เคยมีใครกล้าเขียนขนาดนี้” ส่งผลให้ประเทศถอยหลังมากกว่าเดิม
ทว่าดีไซน์ “รนธ.2560” บิดเบือนกลไกประชาธิปไตย เพื่อรักษาระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยภายใต้ระบบ คสช. หลังทำรัฐประหารปี 2557 และนำกระบวนการนั้นมาสืบทอดอำนาจระบบเผด็จการ “ด้วยการออกแบบสภาของตัวแทนกลุ่มอาชีพ” ที่ปราศจากการมีส่วนร่วม และยึดโยงประชาชน
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajTQ2xsKKgqBZU4H0QYkOgM1mhgxJ3.jpg)
ซึ่งชนชั้นนำควบคุมได้ “ประชาชนถูกกีดกันออกไป” โดยไม่ได้มีสิทธิเลือก สว.ทำให้การออกแบบนี้ยึดโยงประชาชนน้อยมาก “คนไทยจำนวนมาก” แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่มีเลือก สว.ที่มิได้มาจากเลือกตั้ง
เมื่อประชาชนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม “เป็นการเลือกกันเงียบๆในคนกลุ่มเล็กๆ” สุดท้ายปลายทางผู้มีอำนาจจะดึงมาเป็นพวกภายหลัง สะท้อนว่าชนชั้นนำอนุรักษนิยมยังคงต้องการสงวนกลไกวุฒิสภาไว้ให้เป็นกลไกค้ำจุนอำนาจของตน แม้ว่า “ตัวเองไม่อยู่ในตำแหน่ง” ก็ทำพินัยกรรมทิ้งไว้แล้วให้ สว.เป็นผู้รักษาพินัยกรรมนั้น
ตามทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ “หากสังคมเป็นประชาธิปไตย” รัฐบาล และฝ่ายนิติบัญญัติต้องมาจากประชาชนเลือกเข้ามาทำหน้าที่นี้ เพราะยิ่งคนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งมากเท่าใดสังคมก็เป็นประชาธิปไตยมากเท่านั้น
แต่ด้วยหลักการระบบเผด็จการมักมีการออกแบบให้มีกลุ่มคนเล็กที่สุด “เพื่อเลือกรัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติ” แล้วการสรรหา สว.คราวนี้ก็ถูกออกแบบเช่นนั้น “อันเป็นการเลือกกันเอง” ดังนั้นยิ่งคนมีส่วนร่วมเล็กเท่าไหร่สังคมก็จะเป็นประชาธิปไตยน้อยลงเท่านั้น โดย “ประเทศไทย” ก็เคยเลือก สว.แบบแบ่งกลุ่มอาชีพในปี 2561
หนำซ้ำยังเป็น “การเลือก สว.เงียบที่สุดในโลก” ในเรื่องนี้รองเลขาธิการ กกต.ยอมรับเองจากคำสัมภาษณ์ของสื่อต่างประเทศว่า สาเหตุที่เงียบเพราะเขาไม่ต้องการให้เป็นข่าว แต่ต้องการให้คนกลุ่มเล็กๆ เลือกกันเองแบบ
กุ๊กๆกิ๊กๆ แล้ว คสช.ก็มาหยิบ 50 คนใน 10 กลุ่มอาชีพไปแบบเงียบๆ
คราวนั้นมีผู้สมัคร 7,210 คน เช่น จ.ชุมพร 16 คน จ.พังงา 17 คน จ.สิงห์บุรีและระนอง 18 คน จ.บึงกาฬ 23 คน ใช้งบประมาณ 1,300 ล้านบาท สุดท้ายก็ต้องให้ คสช.มาเลือกอีกครั้งจนสิ้นเปลืองงบฯของประเทศไปมาก
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajTQ2xsKKgqBZU4IGwkiUxkt6M3CLE.jpg)
ดังนั้นการเลือก สว.ที่จะเกิดขึ้นนี้ต้องอยู่ที่คนมาสมัครมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนสมัคร 7 พันคน “สว.” ที่ได้มาก็จะเป็นตัวแทนของคน 7 พันคนเท่านั้น “ทำให้ยังไม่เป็นประชาธิปไตย” แต่ถ้ามีคนสมัคร 2 แสนคนก็เป็นตัวแทนของประชาชนมากขึ้น ดังนั้นเมื่อเกมเป็นแบบนี้จึงจำเป็นต้องขยายวงคนที่มีส่วนร่วมให้มากขึ้นที่สุด
สุดท้ายการเลือก สว.2567 มีความสำคัญ หากได้ตัวแทน สว.ภาคประชาชนมีหัวใจประชาธิปไตยแท้จริงก็จะเป็นจุดเริ่มต้นรื้อฟื้นประชาธิปไตย เพื่อเปลี่ยนเกมแก้กติกา เปลี่ยนกรรมการ สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม
ย้ำว่า “ไม่มีใครคนเดียวทำลายประชาธิปไตยได้” แล้วก็ไม่มีใครคนเดียวสามารถรื้อฟื้นทวงคืนประชาธิปไตยกลับมามีชีวิตได้เช่นกัน “คงต้องเป็นหน้าที่ของทุกคน” ที่ออกมาช่วยกันทำภารกิจสำคัญนี้.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม