คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติส่งศาลฎีกาสั่งใบดำ-ใบแดง พร้อมฟันอาญา “กำพล” อดีต สว. ปมจ้างคนลงสมัคร หวังให้เมียได้รับเลือกเป็น สว. จังหวัดฉะเชิงเทรา
วันที่ 8 พ.ย. 2568 เว็บไซต์สำนักงาน กกต. เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต. มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 226 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายกำพล ตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 77 (1) และให้กันนายชาลี เจริญสุข พยานที่ไต่สวนประกอบ คนที่ 1, 2, 5, 6, 7 ไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีอาญา ตามมาตรา 65 ของกฎหมายเดียวกัน
เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนฟังได้ว่าในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัดของจังหวัดฉะเชิงเทรา นายกำพล ได้ติดต่อนายชาลี ให้ดำเนินการจัดหาบุคคลไปสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละกลุ่มให้ได้จำนวนผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด 19 คนเพื่อลงคะแนนเลือกนางปาลาวดี เนื่องจำนงค์ ภรรยาของนายกำพลเป็นผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัด โดยนายชาลีเป็นผู้จัดเตรียมบุคคลระดับอำเภอบางคล้า โดยนายกำพลแจ้งให้นายชาลีไปดำเนินการจัดเตรียมบุคคลมาสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภากลุ่มที่ 20 อำเภอบางคล้า จำนวน 10 คน และในอำเภออื่น อำเภอละ 5 คนขึ้นไป และให้จัดเตรียมบุคคลไปสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในกลุ่มอื่น ๆ กลุ่มละ 5 คน เพื่อลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน รวมทั้ง ให้แจ้งผู้ร้องที่ 1 ช่วยเตรียมบุคคลมาสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วย และจะให้เป็นผู้มีสิทธิเลือกในระดับจังหวัด เมื่อนายชาลี ได้บุคคลที่จะมาลงสมัคร จึงนัดหมายพบกับนายกำพล โดยนายกำพลได้มอบเงินจำนวน 22,500 บาท ให้นายชาลีนำไปมอบให้กับบุคคลที่เตรียมไว้ 5 คน คนละ 4,500 บาท เพื่อใช้ในการดำเนินการสมัคร ซึ่งนายชาลีได้นำเงินไปมอบให้แต่ละคน ในสถานที่ต่าง ๆ พร้อมอธิบายวิธีการเขียนใบสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 คนมาเป็นพยานไต่สวนประกอบในคดีนี้
จากนั้นก่อนวันเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอ นายกำพล สั่งการเกี่ยวกับวิธีการลงคะแนนเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้พี่ชายของนายกำพล และผู้สมัครที่เตรียมมาซึ่งเป็นพยานไต่สวนประกอบในคดีได้เข้าสู่ขั้นตอนการลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน แต่ปรากฏว่าเมื่อเลือก ผู้สมัครที่เตรียมมาได้รับเลือกในระดับจังหวัด ส่วนพี่ชายของนายกำพลไม่ได้รับเลือก โดยนายกำพลเข้าใจว่าผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนของนายชาลีเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ชายของนายกำพลไม่ได้รับเลือก ซึ่งตลอดเวลาที่นายกำพลโทรศัพท์พูดคุย หรือแชตไลน์ วางแผนเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา นายชาลีจะบันทึกเสียง บันทึกภาพไว้ กกต. จึงเห็นว่าจากพยานหลักฐานดังกล่าว ประกอบการให้ถ้อยคำของนายชาลีและพยานไต่สวนประกอบ
จึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่านายกำพลได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็น เป็นใจกับนายชาลี จัดหาหรือจัดเตรียมบุคคลให้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา และให้เงินแก่บุคคลดังกล่าว เพื่อจูงใจให้สมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา และจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนน ให้แก่ผู้ใด อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1) ซึ่งเป็นการทุจริตการเลือก ทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 62 ของกฎหมายเดียวกัน
สำหรับที่กล่าวหาว่า นางปาลาวดี ยินยอมให้นายกำพล ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น จากการไต่สวนพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 1-7 ไม่มีผู้ใดให้ถ้อยคำว่าได้รับคำสั่งให้ลงคะแนนเลือกนางปาลาวดีและไม่ปรากฏว่า นายกำพล มีการกระทำหรือพฤติการณ์ใดที่เป็นการช่วยเหลือนางปาลาวดีเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ส่วนที่กล่าวหา นางปาลาวดี เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะนายกำพล คู่สมรสเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในคราวเดียวกัน ซึ่งในการยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ของนายกำพล ระบุชื่อ นางปาลาวดี เป็นคู่สมรส และข้อความว่า “ไม่ได้จดทะเบียนสมรส”
กกต. เห็นว่า ข้อความว่า “ไม่ได้จดทะเบียนสมรส” จึงรับฟังได้ว่า นางปาลาวดี มิใช่คู่สมรสของนายกำพล เพราะมิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ประกอบกับ ตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มิได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า “คู่สมรส” หมายความรวมถึงผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ป.ป.ช.






