เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจลงเหลือ 2.4% ในปีนี้ ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2.8% ในเดือนมกราคม
พรชัย ธีรเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ 4 ประการ รวมถึงการส่งออกที่ต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ การผลิตยังหดตัวตามดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในหมวดต่างๆ เช่น รถยนต์และวงจรอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ ภาคเกษตรยังได้รับผลกระทบจากภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ขณะที่เงินภาครัฐยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้เต็มที่ เนื่องจากเพิ่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณการคลังเมื่อวันที่ 26 เมษายน ซึ่งส่งผลให้การดำเนินการล่าช้าไป 6 เดือน งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2567
กระทรวงยังได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของการส่งออกของประเทศลงเหลือ 2.3% ลดลงจากประมาณการ 4.2% ในเดือนมกราคม ขณะเดียวกันก็ปรับลดแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อลงเหลือ 0.6% จาก 1% ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม นายพรชัย กล่าวว่า หากมีการใช้กองทุนกระเป๋าเงินดิจิทัลจำนวน 5 แสนล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ รายจ่ายในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 350 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 3- ปีนี้ 3.3%
นายพรชัย กล่าวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สศค. ตั้งเป้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2567 ตลอดจนผ่านนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามา
ในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 จำนวน 3.48 ล้านล้านบาท ที่มีผลบังคับใช้แล้ว สศค. คาดว่าการใช้จ่ายโดยรวมจะอยู่ที่ 92.3% ของงบประมาณรายจ่าย ขณะที่การใช้จ่ายด้านการลงทุนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาดว่าจะเกิดขึ้น ไปถึง 64%
นายพรชัย คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจล่าสุดอยู่บนสมมติฐานสำคัญ 5 ประการ รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก 15 ประเทศของไทย ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.1% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนในเดือนมกราคม 2.8%
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยปี 2567 คาดอยู่ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์ ลดลง 3.4% จากปีก่อนหน้า ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 86 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ การคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 82 ดอลลาร์
ประเทศไทยคาดว่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ 35.7 ล้านคนในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่มี 33.5 ล้านคน โดยการใช้จ่ายภาครัฐโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 92.3% ของงบประมาณทั้งหมด โดยการใช้จ่ายประจำอยู่ที่ 99.5% และรายจ่ายลงทุนอยู่ที่ 64%.