นับเป็นประเด็นสะเทือน “วงการสีกากี” เป็นที่สนใจแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง เมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี” มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล (บิ๊กต่อ) ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) รอง ผบ.ตร. ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกฯ สยบความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
หลังพยายามงัดหลักฐานกล่าวหากัน “เชื่อมโยงเว็บพนันออนไลน์” ลุกลามถึงมีการดำเนินคดีอาญากลายเป็น “ปฏิปักษ์ต่อกัน” จนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะต่อเนื่องกระทบต่อภาพลักษณ์ตำรวจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หน.พรรคเสรีรวมไทย และอดีต ผบ.ตร. บอกว่า
ตั้งแต่เป็นตำรวจจนเกษียณอายุราชการ “ไม่เคยเจอเหตุการณ์ ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร.ขัดแย้งรุนแรงแบบนี้มาก่อน” ด้วยการงัดข้อมูลอออกมาแฉกัน “เพื่อดำเนินคดีอีกฝ่าย” แต่สุดท้ายกลับมาจับมือกันตั้งโต๊ะแถลงข่าวบอกว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ทำให้ประชาชนสงสัยเรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นหน้าที่นายกฯต้องทำความจริงปรากฏ
ปัญหาคือ “ความขัดแย้งนี้ถูกจัดการช้าจนบานปลาย” จริงๆแล้วเรื่องนี้ นายกฯควรต้องออกมาดำเนินการจัดการปัญหาตั้งแต่ “เริ่มมีส่งสัญญาณในกรณีคดีกำนันนก จ.นครปฐมแล้ว” กลับปล่อยให้ลุกลามกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกันผ่านสื่อมวลชนมาเรื่อยๆ จนส่งผลต่อภาพลักษณ์ตำรวจกระทบความเชื่อมั่นของประชาชน
อาจเป็นเพราะ “ภารกิจนายกฯรัดตัว” ในการดูแลประชาชนควบคู่ “รมว.คลัง” ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ “ไม่มีเวลากำกับตำรวจเมื่อมีปัญหาก็จัดการได้ไม่ทัน” ดังนั้น ควรหาผู้มาทำหน้าที่แทน แต่ส่วนใหญ่ติดว่าองค์กรตำรวจแม้เป็นหน่วยงานเล็กๆ “ฝ่ายการเมือง” มักเข้ามาแทรกแซงหวังประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น
กลายเป็นเหตุบานปลาย “นายกฯ” คอยออกคำสั่ง 3 ฉบับ คือ 1.ย้ายบิ๊กต่อ และบิ๊กโจ๊ก ช่วยราชการสำนักนายกฯ 2.ตั้ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรก.ผบ.ตร. 3.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 60 วัน
สะท้อนให้เห็นว่า “ความขัดแย้งระหว่าง ผบ.ตร. และ รองผบ.ตร.” ค่อนข้างร้ายแรงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมานายกฯไม่พอใจการทำงาน ผบ.ตร.คนใดก็ให้คนนั้นไปสำนักนายกฯแค่นั้นอย่างสมัยตัวเองเป็น ผบ.ตร.ก็เคยถูกย้ายไปสำนักนายกฯ “เรียกว่าถูกปล้นตำแหน่ง” ต้องต่อสู้คดีกันจนสุดท้ายก็ชนะคดีมาได้
คราวนี้ต่างกันเพราะ “ผบ.ตร.ขัดแย้งกับรอง ผบ.ตร.” ทำให้นายกฯต้องสั่งไปช่วยราชการทั้ง 2 ท่าน
ถัดมาดูคำสั่ง “การย้ายบิ๊กต่อและบิ๊กโจ๊ก” มองว่าทำเป็นชั้นเชิงเท่านั้น สังเกตกรอบเวลาในการตรวจสอบกำหนดไว้ 60 วัน “ถ้าไม่ระบุวันมักหมายถึงส่งไปแช่แข็ง” แม้ไม่ผิดก็จะหาเหตุให้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าจะตรวจสอบจริงๆ “ต้องสรุปผลก่อนบิ๊กต่อเกษียณเดือน ก.ย.นี้” มิเช่นนั้นจะเป็นปัญหาในการสอบสวนข้อเท็จจริง
เพราะหาก “ไม่มีความผิดก็ยุติไป” แต่ถ้ามีมูลความผิดแล้วมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยก็ยังจะสามารถทำการสอบต่อได้แม้จะเกษียณราชการไปแล้วก็ตาม ดังนั้น คงต้องดูท่าที “นายกฯ” จะเอาจริงกับเรื่องนี้เพียงใด หรือเป็นการตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อซื้อเวลาช่วยเหลือกันหรือไม่ อีกไม่นานนี้ก็จะปรากฏให้เห็นชัดขึ้น
โดยเฉพาะเส้นทางการเงิน “ถูกเปิดโปงอยู่บนสื่อ” ไม่อาจปล่อยให้จบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ “ตำรวจ” จำเป็นต้องตรวจสอบให้สิ้นสุดกระบวนการอย่างตรงไปตรงมา และชี้แจงต่อประชาชนให้คลายข้อสงสัย
“ตามรูปการณ์เรื่องผู้ใหญ่น่าจะพูดคุยตกลงกันก่อนออกคำสั่งแล้วโดยเฉพาะการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ อาจกำหนดระดับการตรวจสอบสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นการซื้อเวลาลดกระแสสังคม ดังนั้น เชื่อว่าผลสรุปการสืบสวนจะปรากฏให้เห็นมีมูลความผิดนั้นคงเป็นไปได้น้อยมาก” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ว่า
ข้อสังเกตต่อมา “การตั้ง รรก. แทน ผบ.ตร.” ตามระเบียบมิได้จำกัด ไว้เฉพาะการแต่งตั้งรอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 เท่านั้น แต่เรื่องนี้ให้อำนาจ “นายกฯ” เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมบุคคลที่สามารถสนองต่อนโยบาย และทำงานให้ สตช.ได้ ก็ตั้งคนนั้นมาทำงานชั่วคราว แต่กลับเลือกรอง ผบ.ตร.อาวุโสลำดับ 1 ขึ้นแทน
สวนทางกับ “การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ตัวจริง” ที่กลับไม่เคยใช้หลักอาวุโสมาพิจารณาด้วยซ้ำ จนกลายเป็นต้นเหตุ “ปัญหาความขัดแย้งในขณะนี้” แถมบานปลายแบ่งฝักแบ่งฝ่ายช่วงชิงอำนาจซึ่งกันตามมานี้
ถ้าย้อนมาดูหลัก “การแต่งตั้ง ผบ.ตร.” ตาม พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 ต้องมาจากตำรวจยศ พล.ต.อ.มีตำแหน่ง จชต.หรือรอง ผบ.ตร. โดยนายกฯคัดเลือกคำนึงถึงอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกันโดยเฉพาะประสบการณ์งานสืบสวนสอบสวน หรืองานป้องกันปราบปรามเสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
ประเด็นนี้กลายเป็นช่องโหว่ให้ “การตั้ง ผบ.ตร.ไม่เป็นธรรม” เพราะตามตำแหน่งนี้มักเป็นฝ่ายบริหาร “มิใช่ผู้ปฏิบัติงาน” ดังนั้น เรื่องของประสบการณ์งานสืบสวนสอบสวน หรือการป้องกันปราบปราม ควรต้องอยู่ในระดับ ผกก.สถานีตำรวจ อันจะมี ผบก.จังหวัด และ ผบช.ภ. คอยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลด้านนี้อยู่แล้ว
เหตุนี้ตำแหน่ง “ผบ.ตร. คือ นักบริหาร” ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถงานสืบสวนสอบสวน หรือป้องกันปราบปรามด้วยซ้ำ ตัวอย่างสมัย “พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์” เคยเป็น รมว.มหาดไทย และอธิบดีกรมตำรวจ แต่ไม่เคยมีประสบการณ์งานสืบสวนกลับสามารถบริหาร “กรมตำรวจ” ในสมัยนั้นให้มีชื่อเสียงมาจนถึงวันนี้ได้
หนำซ้ำยัง “สร้างขีดความสามารถของตำรวจเทียบเท่ากับกองทัพ” มีทั้ง ตชด. กองบินตำรวจ กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศ แม้แต่ ร.ร.นายร้อยตำรวจสมัยนั้น “มีพื้นที่เล็กๆในเขตปทุมวัน” ก็จัดหาพื้นที่ใน อ.สามพราน จ.นครปฐม เนื้อที่ 500 ไร่ “จัดตั้ง ร.ร.นายร้อยตำรวจแห่งใหม่” มาจนถึงปัจจุบันนี้
ทำให้เห็นว่า “ผบ.ตร.” ไม่ต้องมีประสบการณ์สืบสวนสอบสวน และปราบปรามก็สามารถบริหารงานได้
แต่เมื่อระเบียบเปิดทางให้ “นำประสบการณ์งานสืบสวนสอบสวนมาประกอบการ” กลายเป็นช่องให้คราวนั้น “นายกฯ” เสนอชื่อรอง ผบ.ตร.อาวุโสลำดับที่ 4 ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. โดยไม่พิจารณาหลักอาวุโสของรอง ผบ.ตร.ลำดับที่ 1 เช่นนี้ ทำให้รอง ผบ.ตร.ลำดับที่ 2, 3 ต่างมีความหวังสำหรับโอกาสการได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ในอนาคต
เช่นนี้ก็ทำให้มีความพยายาม “วิ่งเข้าหาประจบประแจงผู้มีอำนาจ” เปิดช่องผลักดันในการหาเงินนำมาใช้จ่ายซื้อยศ-ซื้อตำแหน่งหรือไม่ผลสุดท้ายเคราะห์กรรมมักตกอยู่กับประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อนตามมา
ยิ่งกว่านั้นบางคนยังใช้วิธีการสกัดผู้มีโอกาสขึ้นเป็น ผบ.ตร.ด้วยการขุดคุ้ยความผิดในอดีตเล็กน้อยมาขยายเป็นกระแสใหญ่โต กลายเป็นชนวนความขัดแย้งแบ่งพรรคแบ่งพวกเห็นชัดเจนขึ้นทุกวัน สาเหตุเพราะไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้ สะท้อนให้เห็นการแก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจฯ ยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนเท่าที่ควร
แต่ถ้าเทียบกับการแต่งตั้ง “อัยการหรือผู้พิพากษาศาล” ล้วนคำนึงถึงหลักอาวุโสเป็นสำคัญทำให้ไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กร ฉะนั้นหนทางแก้ปัญหานี้ “ผบ.ตร.” ควรมาจากหลักอาวุโสโดยเฉพาะรอง ผบ.ตร.เบอร์ 1 ต้องได้รับพิจารณาในตำแหน่งนี้ มิเช่นนั้นปัญหาก็ไม่จบสิ้นคงเกิดขึ้นปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยไป
จริงๆแล้ว “การปฏิรูปตำรวจ” ต้องเปลี่ยนโครงสร้างทั้งระบบ ตั้งแต่บุคคล เครื่องมือ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ เริ่มจากการสรรหาผู้มาเป็นตำรวจควรรับ “ผู้จบปริญญาตรี” เข้ามาเป็นตำรวจในชั้นประทวน เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรตำรวจให้มีความรู้และคุณภาพที่สูงขึ้น ควบคู่กับการจัดสรรสวัสดิการให้มีความเพียงพอด้วย
สมัยตัวเองเคยเปิดรับสมัคร “ผู้จบเนติบัณฑิตมาเป็นตำรวจยศ ร.ต.ต. 500 นาย” เพื่อพนักงานสอบสวนได้มีความรู้ความสามารถเทียบเท่าอัยการ-ผู้พิพากษา ส่วนตำรวจชั้นประทวนรับระดับ ป.ตรี ทั้งจัดสวัสดิการ อุปกรณ์ปฏิบัติงานและปรับหน่วยงานสถานที่สอดรับต่องานอัยการหรือผู้พิพากษาให้ไปในทิศทางเดียวกัน
ย้ำว่า “ความขัดแย้งในองค์กรตำรวจหลายสมัย” ล้วนเกิดจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม แต่ถ้าการแต่งตั้งคำนึงถึงหลัก “อาวุโส” เป็นสำคัญ ปัญหาความแตกแยกก็อาจจะมีให้เห็นน้อยลง…