เศรษฐพุฒ เผยแรงกดดันด้านราคาเป็นปัญหา เนื่องจากไทยอาจเผชิญการเติบโตที่ชะลอตัวลง “ในอีก 5 ปีข้างหน้า”
นายเศรษฐพุฒ สุทธิวาทนฤพุฒ ผู้ว่าการธนาคารกลาง กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบัน “ช่วยให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย” (ภาพ: ธนาคารแห่งประเทศไทย)
นายเศรษฐพุฒ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่าศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 3% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งลดลงจากค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียง 3.5% ที่รายงานในช่วงหลายปีก่อนการระบาดของโควิด-19
ระหว่างปี 2547 ถึง 2556 ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ 3.8% โดยเฉลี่ย ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโตเฉลี่ย 4% ต่อปี ศักยภาพการเติบโตลดลงเหลือ 2.7% ระหว่างปี 2557 ถึง 2566 และการเติบโตของ GDP ก็ชะลอตัวลงเหลือ 2.8% ต่อปีเช่นกัน
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจของไทยจะกำลังฟื้นตัวจากภาวะชะงักงันอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 แต่เศรษฐกิจกลับฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นมาก
การฟื้นตัวที่ช้ากว่านี้มีสาเหตุหลักมาจากการที่ประเทศพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ซึ่งการฟื้นตัวนั้นช้ากว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ
นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิต ตลอดจนหนี้ครัวเรือนที่สูง กำลังทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว เขากล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี
“การปฏิรูปโครงสร้างเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในระยะยาว” เขากล่าว
ขณะที่นายเศรษฐพุฒยอมรับว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวทีละน้อย แต่หลายครัวเรือนยังคงต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและอาหารสดโดยเฉพาะยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแก๊สโซฮอล์ 95 น้ำมันพืช และไข่ ปรับตัวสูงขึ้น 40%, 32.5% และ 25% ตามลำดับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลของธนาคารกลาง
“อัตราศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียง 3% จะไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมการเพิ่มขึ้นเหล่านี้” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศแคนาดากล่าว
ผลสำรวจของธนาคารกลางพบว่ารายได้ของพนักงานในภาคส่วนที่ไม่ใช่เกษตรกรรมและแรงงานอิสระเพิ่มขึ้น 8.9% และ 9.2% ตามลำดับในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 7.15% ในช่วงเวลาเดียวกัน
นายกสมาคมค้าเงินดิจิทัล เผย พ.ร.บ.เงิน 5 แสนล้านบาท อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในระยะยาวไม่ช่วยเสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจขยายตัวดีเกินคาดที่ 1.5% ในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่อัตราการขยายตัวชะลอลงจาก 1.7% ในไตรมาสก่อนหน้า
ธปท. คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัว 2.6% ในปีนี้และ 3% ในปีหน้า โดยการขยายตัว 1.9% เมื่อปีที่แล้วนั้นช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
รัฐบาลได้กดดันให้ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2.5% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ นายเศรษฐพุฒ กล่าวว่า ธนาคารกลางจะต้องคำนึงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ไม่ใช่การตัดสินใจโดยพิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่เพียงอย่างเดียว
เขากล่าวอีกว่าราคาผลิตภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับสูงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง
ดัชนีราคาผู้บริโภคอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 1.54% จากปีก่อน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน และคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในเดือนมิถุนายน โดยดัชนีเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนเมษายน
“อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังเหมาะสมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในเป้าหมายได้” นายเศรษฐพุฒกล่าว
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ โดยหากแนวโน้มเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง ธนาคารกลางก็พร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมต่อไป
การประชุมทบทวนอัตราครั้งต่อไปของ MPC กำหนดในวันที่ 21 สิงหาคม