เว็บไซต์รัฐบาลได้เผยแพร่เอกสารความเห็นของ 4 หน่วยงานรัฐ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สภาพัฒนาการเศรษฐกิจฯ และ ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน digital wallet ตามที่รัฐบาลได้มีหนังสือด่วนที่สุดถามความเห็นไป แต่ไม่รู้ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ได้อ่านความเห็นเหล่านี้หรือไม่ เพราะมีข่าวว่า ครม.ใช้เวลาพิจารณา โครงการ digital wallet เพียง 20 กว่านาทีเท่านั้น หลังจากนั้นก็มีหนังสือความเห็นของแบงก์ชาติที่ถูกปล่อยออกมาฉบับเดียว แต่ภายหลังเว็บไซต์รัฐบาลได้เปิดเผยหนังสือความเห็นทั้ง 4 ฉบับ
มี 3 หน่วยงานที่แสดงความเป็นห่วงคือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สภาพัฒน์ และ แบงก์ชาติ แต่ สำนักงบประมาณ เห็นดี เห็นงามตามรัฐบาล
ประเด็นสำคัญที่ สภาพัฒน์ และ แบงก์ชาติ เป็นห่วงก็คือ “ความเสี่ยงทางการคลัง” เพราะโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีการนำเงินจากงบประมาณปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท ไปแจก เงินจากงบปี 67 นี้ รัฐบาลเปิดเผยว่าจะนำ “เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงิน 99,500 ล้านบาท” ในงบกลางไปใช้เกือบทั้งก้อน แต่ก็ยังไม่พอ ต้องดึงเงินจากโครงการพัฒนาต่างๆกลับมาอีก 75,500 ล้านบาท งบลงทุนที่มีน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก เมื่อเกิดภัยพิบัติธรรมชาติขึ้นมา เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง รัฐบาลจะไม่มีเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็นไว้ใช้จ่ายเลย ซึ่งเสี่ยงอย่างมาก
นอกจากนี้ยังนำ งบประมาณปี 2568 มาใช้แจกอีก 152,700 ล้านบาท รวมทั้ง เงินจาก ธ.ก.ส.อีก 172,300 ล้านบาท ซึ่งต้องมีการตั้งงบประมาณใช้คืน ธ.ก.ส.ในอนาคต
คุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ให้ความเห็นด้วยความเกรงอกเกรงใจว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการเงินโลก และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น การใช้แหล่งเงินงบประมาณประจำปีเป็นแหล่งเงินสำหรับโครงการ ควรพิจารณาดำเนินการให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ เงื่อนไขทางการคลัง และกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมทั้งจัดเตรียมมาตรการรองรับ ในกรณีที่เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และควรพิจารณากำหนดแนวทางในการลดผลกระทบทางการคลังในระยะถัดไป
สภาพัฒน์เตือนให้รัฐบาลใช้เงินงบประมาณอย่างรอบคอบ ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการคลัง กรอบวินัยทางการเงินการคลัง และมีมาตรการรองรับ ถ้าได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก มิฉะนั้นรัฐบาลอาจจะถังแตกต้องกู้กันระเบิดแบบสหรัฐฯก็ได้
ส่วนแบงก์ชาติ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นคนที่เปิดเผยและจริงใจต่อระบบการเงินของชาติมาก จึงให้ความเห็นที่ตรงไปตรงมา ทำให้นายกฯไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แบงก์ชาติให้ความเห็นว่า โครงการ DW (Digital Wallet) ควรทำเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 15 ล้านคน ทำได้ทันทีและใช้เงินเพียง 150,000 ล้านบาท ไม่ต้องแจกถึง 50 ล้านคน คนที่มีรายได้น้อยมักซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ มากกว่าสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ผู้ผลิตในประเทศจึงได้ประโยชน์
แบงก์ชาติเห็นว่า ความจำเป็นที่จะกระตุ้นการบริโภคในวงกว้างมีไม่มาก เพราะ ปี 2566 การบริโภคภาคเอกชนไทยขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.1 เท่ากับค่าเฉลี่ยในปี 2553-2565
แต่ที่แบงก์ชาติเป็นห่วงก็คือ โครงการ DW ก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว หากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ถ้าประเทศไทยถูกลดความน่าเชื่อถือ จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้น รวมทั้ง อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ความเสียหายจะมากกว่าผลที่ได้รับจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้วคนไทยจะเดือดร้อนกันทั้งประเทศ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม