เผยแพร่ : 25 พ.ย. 2568 เวลา 06:12 น

โครงการนำร่องของ ปตท.สผ. ที่แปลงก๊าซอาทิตย์ในอ่าวไทย คาดว่าจะกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้แปลงได้มากถึง 8 ล้านตัน
เจ้าหน้าที่พลังงานวางแผนที่จะประกาศผู้ชนะการประมูลปิโตรเลียมบนบกครั้งที่ 25 ของประเทศในเดือนหน้า ความเคลื่อนไหวนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองและเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (DMF) เสนอแปลงสำรวจ 9 แปลง แบ่งเป็น 7 แปลงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 2 แปลงในภาคกลาง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 33,000 ตารางกิโลเมตร
วรากร พรหมพละ อธิบดี DMF กล่าว
นายวรากรอธิบายว่าการประมูลมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า รักษาเสถียรภาพต้นทุนพลังงาน และรับประกันอุปทานท่ามกลางความผันผวนของราคาโลกและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
“ธุรกิจปิโตรเลียมนำค่าลิขสิทธิ์ รายได้จากภาษี และงานมาสู่ชุมชนท้องถิ่น” เขากล่าว
การประมูลดังกล่าวถือเป็นการประมูลสำรวจบนบกครั้งแรกของประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2550 ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการขุดเจาะได้เพิ่มโอกาสในการค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซใหม่ ตามที่กรมระบุ
ผู้ประมูลขั้นสุดท้าย ได้แก่ บริษัทระดับนานาชาติ เช่น ECO Orient Companies ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย Hong Kong และ China Gas Co และ Pan Orient Energy (Siam) ซึ่งเป็นเจ้าของโดย Dialog ของมาเลเซียและ Sea Oil ของไทย โดยร่วมมือกับ CanAsia Energy
คู่แข่งในท้องถิ่น ได้แก่ PTTEP International, Geo Mechanical Services และ UAC Utilities ซึ่งเป็นบริษัทด้านพลังงานของ UAC Global Plc
ประเทศไทยมีแปลงปิโตรเลียมบนบกจำนวน 7 แปลง โดยมีกำลังการผลิตรวม 33,000-34,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกเหนือจากการขยายปิโตรเลียมแล้ว ประเทศไทยกำลังพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) อีกด้วย
โครงการนำร่องที่เปิดตัวในเดือนกันยายนโดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะกักเก็บCO₂ได้มากถึง 8 ล้านตันใต้แปลงก๊าซอาทิตย์นอกชายฝั่ง โดยจะมีการจับครั้งแรกในปี 2571
กรมประมงวางแผนการสำรวจพื้นที่ในต้นปีหน้าสำหรับโครงการ CCS ใหม่ในอ่าวไทยตอนบน
สำหรับแผนระยะยาว คาดว่าจะมีการพัฒนาความจุใต้ดิน 225 ล้านตันทั่วบล็อกน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางการวางแผนที่จะติดตั้งระบบ CCS มูลค่า 540 พันล้านบาท เพื่อช่วยประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ต้องการให้ประเทศไทยสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการดูดซับภายในปี 2593 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิม 15 ปี






