“พรรณิการ์” กก.คณะก้าวหน้า กล่าวในงานเสวนา ชวนประชาชนจัดตั้งกันเอง เลือก สว. ชี้ แม้ในสมรภูมิที่ระบบเลือกตั้งซับซ้อน ชนชั้นนำ และประชาชน เริ่มต้นเท่ากัน แพ้ไม่เป็นไร ชนะได้ สว.จากประชาชน ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม

วันที่ 28 มี.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการคณะก้าวหน้า ร่วมเสวนาภายใต้หัวข้อ กระบวนการเลือก สว. : ที่มา การทำงาน และความสำคัญ โดยมี สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. และยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการ iLaw ร่วมพูดคุย ณ ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

โดยระหว่างการเสวนา น.ส.พรรณิการ์ ตั้งคำถามว่า คนในห้องประชุมเกือบทั้งหมดนั้นไม่สามารถลงเลือกตั้งสว.ได้ เนื่องจากคนจำนวนมากไม่มีอายุไม่ถึง 40 ปี พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้ง สว.ที่กำลังจะมาถึง มีลักษณะที่ไม่ควรถูกเรียกว่าการเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นระบบที่ผู้สมัครต้องเสียค่าสมัคร 2,500 บาท และต้องมีคุณสมบัติอีกหลายประการเพื่อให้สามารถเข้าสู่ระบบการเลือกได้ ซึ่งทำให้คนจำนวนน้อยสามารถเข้าไปลงสมัครได้

โดย น.ส.พรรณิการ์ วิพากษ์วิจารณ์ถึงการเลือกตั้ง สว. ที่จะเกิดขึ้นว่า เป็นระบบที่ต้องการหาความชอบธรรม แม้ว่าจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งเกิดแนวคิดว่า สรรหาตามกลุ่มอาชีพให้โอกาสกับกลุ่มสตรีกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้พิการ แต่การแบ่งกลุ่มตามกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่มนั้น ไม่ชอบธรรมและซับซ้อน เต็มไปด้วยเช่นช่องโหว่ พร้อมกับยกตัวอย่าง เช่น สว.กลุ่มนักเขียน กับสว.กลุ่มสื่อมวลชน ถูกรวมอยู่ในกลุ่มเดียวกัน สายสิ่งแวดล้อมก้บอสังหาริมทรัพย์ อยู่กลุ่มเดียวกัน พร้อมตั้งคำถามต่อว่า และการเลือกตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด จนถึงประเทศ จะหาคน 20 กลุ่มนี้ได้ในทุกอำเภอจริงหรือไม่ จะหาคนทำนาที่ไหนในเขตเมืองกรุงเทพฯ ชั้นใน

“ท่านเคยสงสัยไหมคะว่าในอำเภออมก๋อยจะมีผู้ประกอบอาชีพนวัตกรรมเทคโนโลยีอยู่สักกี่คน ในทางตรงกันข้ามเขตราชเทวีจะมีชาวนาไหมคะ ยังไม่นับชาวประมง จากอำเภอจอมทอง (เชียงใหม่) ยังไงดีคะ ขณะเดียวกัน สายบุรี (ปัตตานี) จะมีคนทำอุตสาหกรรมหรือการเงินสักกี่คน” น.ส.พรรณิการ์ ยกตัวอย่าง

พร้อมกันนี้ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวโดยสรุปว่า สว.คือ องค์กรที่ถูกสร้างขึ้นมาแต่ต้นเพื่อคัดคานอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของสภาผู้แทนฯ โดยที่ตัวเองไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่พยายามจะถูกย้อมและพยายามจะสร้างหลักการให้ตัวเองเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือขึ้นมา และมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่ประสบความสำเร็จหากปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ภายใต้ระบบที่ซับซ้อนเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมครั้งที่ผ่านมา ที่ชนชั้นนำพยายามไม่ประชาสัมพันธ์ เพราะผู้มีอำนาจรู้ว่ายิ่งประชาสัมพันธ์ คนมาลงคะแนนมาก คะแนนจัดตั้งจะแพ้ ฉะนั้นประชาชนจึงควรร่วมมือกันทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ในขณะที่เขาพยายามปิดกั้นการรับรู้ การเข้าถึงการเลือกตั้ง เราก็รณรงค์ให้ประชาชนไปลงทะเบียนเพื่อเลือกบอร์ดประกันสังคม สุดท้ายแล้วมันก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อประชาชนจัดตั้งกันเอง ตื่นตัวแล้ว ประชาชนคือผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปสร้างการเปลี่ยนแปลง นี่คือความสำเร็จของการคิดมุมกลับกับผู้มีอำนาจที่ออกแบบระบบกีดกันประชาชน

“ในการเลือก สว. ระหว่างเราคนธรรมดาประสบการณ์เท่ากันกับผู้มีอำนาจ ประสบการณ์เท่ากับ 0 เหมือนกัน เพราะเพิ่งจะเลือกระบบนี้กันครั้งแรก ก็ลองมาวัดการจัดตั้งค่ะว่าระหว่างประชาชนที่ต่างคนต่างสมัครต่างคนต่างไปลงคะแนนเลือกกันเอง กับคนของผู้มีอำนาจ ใครชนะ ถ้าประชาชนชนะ ครั้งนี้เราจะได้ สว.ของประชาชน ที่มีอำนาจในการสรรหาองค์กรอิสระต่างๆ ที่เป็นต้นกำเนิดของความขัดแย้งและวิกฤติในการเมืองไทยตลอด 20 ปีที่ผ่านมาล้วนผ่านมือของสว. เพราะฉะนั้นถ้าแพ้ไม่เป็นไร เสมอตัว แต่ถ้าชนะขึ้นมาประเทศไทยไม่มีวันเหมือนเดิม ไม่ใช่แค่สภาล่างอีกต่อไป แต่รวมถึงที่วุฒิสภาด้วย เพราะฉะนั้นเป็นสมรภูมิที่พวกเราไม่มีอะไรจะเสีย เสี่ยงกันดูสักตั้งหนึ่งแล้วก็ลุ้นกันว่าการจัดตั้งกันเองของประชาชนจะพาเราไปได้ไกลถึงไหน” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว.

แบ่งปัน.
Exit mobile version