ลดลง 14.5% ในไตรมาสที่สี่

โมเดลบ้านจิ๋วที่จัดแสดงในงานแสดงทรัพย์สินเมื่อเร็วๆ นี้ จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ อุปทานบ้านแนวราบในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 มียอดรวม 15,770 ยูนิต มูลค่า 1.44 แสนล้านบาท (ภาพ: วรุทร์ หิรัญเทพ)

หน่วยที่อยู่อาศัยใหม่ที่ขายได้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในไตรมาสที่สี่ของปี 2566 ลดลง 14.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่งผลให้ทั้งปีลดลง 22.5% ตามข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC)

วิชัย วิรัตกะพันธุ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ฯ กล่าวว่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 มีความแตกต่างระหว่างอุปสงค์และอุปทาน

อุปทานเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบเป็นรายปี เป็น 31,363 ยูนิต มูลค่า 240,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% ในขณะที่ความต้องการลดลง 14.5% เป็น 18,208 ยูนิต มูลค่า 94.8 พันล้านบาท ลดลง 19%

“ส่งผลให้จำนวนยูนิตเหลือขายที่เหลืออยู่เพิ่มขึ้น 13.7% นับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบเป็นรายปีในรอบ 4 ไตรมาส รวมจำนวน 209,894 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1.17 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.7% ในแง่มูลค่า” เขากล่าว .

เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นและอุปสงค์ที่ลดลง อัตราการดูดซึมเฉลี่ยในปีที่แล้วจึงลดลงเหลือ 2.7% จาก 3.8% ในปี 2565

จากอุปทานใหม่ทั้งหมดที่เปิดตัวในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 เป็นคอนโดจำนวน 15,593 ยูนิต มูลค่า 95.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.2% และ 111% ตามลำดับ

บ้านแนวราบมีจำนวน 15,770 ยูนิต มูลค่า 144 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และ 25% ตามลำดับ

โดยโครงการเปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยยูนิตราคา 3 ล้านบาทและต่ำกว่า จำนวน 6,588 ยูนิต ตามมาด้วยยูนิตราคาระหว่าง 3.01-5 ล้านบาทต่อยูนิต รวมจำนวน 6,056 ยูนิต

ทำเลที่มียอดขายยูนิตสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2566 ได้แก่ บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง สมุทรปราการ จำนวน 2,315 ยูนิต มูลค่า 13.8 พันล้านบาท

ถัดมาเป็นบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย นนทบุรี 1,711 ยูนิต มูลค่า 8.7 พันล้านบาท และเมือง-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ สมุทรปราการ 1,613 ยูนิต มูลค่า 6.2 พันล้านบาท

ขณะที่บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อยมียอดขายยูนิตมากเป็นอันดับสอง แต่ก็ยังมีจำนวนยูนิตขายไม่ออกคงเหลือสูงสุดด้วยจำนวน 20,271 ยูนิต มูลค่า 103.3 พันล้านบาท สาเหตุหลักมาจากจำนวนยูนิตใหม่ที่มีนัยสำคัญ เปิดตัวในพื้นที่นั้น

ลำลูกกา-ธัญบุรี ปทุมธานี มียูนิตขายไม่ออกมากเป็นอันดับสอง ด้วยจำนวน 18,303 ยูนิต มูลค่า 85.3 พันล้านบาท รองลงมาคือ บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง 16,762 ยูนิต มูลค่า 93.2 พันล้านบาท และคลองหลวง ที่ปทุมธานีด้วย 16,558 หน่วย มูลค่า 61.4 พันล้านบาท

“หากการเติบโตทางเศรษฐกิจบรรลุเป้าหมาย ตลาดในปีนี้คาดว่าจะดีขึ้นในระดับเดียวกับปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่ดีที่สุดหลังการระบาด” นายวิชัยกล่าว “เราคาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้น 25% เป็น 91,869 ยูนิต มูลค่า 486 แสนล้านบาท”

แบ่งปัน.
Exit mobile version