“ลิณธิภรณ์” สส.บัญชีรายชื่อ เพื่อไทย ห่วงความรุนแรง-สุขภาพจิตเด็ก ขอโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย หลังสถิติพุ่งสะท้อนปัญหาเชิงลึก แนะ ศธ.ทำงานเชิงรุก วางระบบรับเปิดเทอม
วันที่ 28 มี.ค. น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีความกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรงในโรงเรียน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน เพื่อหารือผ่านไปยังกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา มีข่าวความรุนแรงในโรงเรียนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการทำร้ายร่างกาย การกลั่นแกล้ง การล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียน รวมถึงปัญหายาเสพติดที่คุกคามเยาวชน และสร้างความกังวลให้ผู้ปกครองและพี่น้องประชาชน จากข้อมูลสถิติคดีอาญา กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนในปี 2566 มีคดีเกิดขึ้นโดยเด็กและเยาวชนมากถึง 13,133 คดี และกว่า 3,060 คดี เป็นคดียาเสพติด
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาความรุนแรงแล้ว ก็ยังตีคู่กันมากับปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน ทั้งมีการทำร้ายตัวเอง ใช้สารเสพติด และการฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้น จากรายงานสถานการณ์ฆ่าตัวตายประเทศไทย ปี 2566 พบว่ากลุ่มอายุที่พยายามฆ่าตัวตายในอัตราที่สูง คือ กลุ่มวัยรุ่น วัยเรียน (อายุ 15-19 ปี) ตัวเลขเหล่านี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกเกี่ยวกับ “วิกฤติสุขภาพจิต” ของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีนักจิตวิทยาประจำเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อช่วยดูแลปัญหาเหล่านี้ แต่อัตราส่วนนักจิตวิทยาต่อจำนวนนักเรียนที่ต่ำที่สุดคือ นักจิตวิทยา 1 คนต่อนักเรียนกว่า 120,687 คน และแม้ว่าอัตราส่วนที่สูงที่สุดแล้วก็ยังคงเป็น นักจิตวิทยา 1 คนต่อนักเรียนถึง 6,171 คน คงไม่ต้องตอบว่าเพียงพอหรือไม่ หากดูจากสถิติความรุนแรง การใช้ยาเสพติด และอัตราการพยายามฆ่าตัวตายของเด็กและเยาวชนที่สูงขึ้นมากเรื่อยๆ ดังนั้น ปัญหาสุขภาพจิตในปัจจุบันไม่สามารถใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบตั้งรับได้อีกต่อไป กระทรวงศึกษาธิการจำเป็นต้องทำงานเชิงรุก รีบประคองพวกเขาไว้ก่อนจะสายเกินไป ให้มือที่คอยจับคอยประคับประคองเยาวชนเป็นมือของครู และมือของนักจิตวิทยาที่มีความรู้ ความเข้าใจ มีความเชี่ยวชาญในการรับมือและแก้ไขปัญหา
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในโรงเรียน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนในทุกมิติ
“เด็กๆ หลายคนมีปัญหาภายในครอบครัว ในบางกรณีบ้านอาจจะไม่ใช่ที่ที่ทำให้รู้สึกสบายใจ ดังนั้นเมื่อมาถึงโรงเรียนแล้ว ขอให้โรงเรียนได้เป็นพื้นที่ปลอดภัย อย่าให้เวลาพวกเขามองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใคร เพราะหลายครั้งที่มือที่เราคว้าไว้ไม่ทัน จะเป็นมือที่เราไม่ได้จับอีกเลย เราต้องเป็นผู้คอยรับไว้ไม่ให้ใครร่วงหล่น” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว