Close Menu
ไทยแลนด์ไทมส์
  • หน้าแรก
  • ประเทศไทย
  • การเมือง
  • เศรษฐศาสตร์
  • กีฬา
  • บันเทิง
  • เทคโนโลยี
  • ไลฟ์สไตล์
  • ข่าวประชาสัมพันธ์
  • กำลังมาแรง
มีอะไรเกิดขึ้น

ศึกเดิมพันชีวิต “งูจงอาง” ปะทะ “งูเหลือม” ต่อสู้กอดรัดกันแน่น

“โสภณ ซารัมย์” ซัดแรงเรื่องนอมินี ทุกพรรคมีหมด ถามเป็นคนบุรีรัมย์เสียหายตรงไหน

สุวรรณภูมิ” รณรงค์งดปล่อยโคมลอย พลุ ดอกไม้ไฟ ขึ้นท้องฟ้าช่วงเทศกาล “ลอยกระทง

นายกรัฐมนตรี ปลื้ม กระแส “โครงการคนละครึ่งพลัส” คึกคัก วันแรกสร้างยอดใช้จ่ายรวมทะลุ 700 ล้านบาท

ชาวบ้านกังวล วอนตรวจสอบสารหนูในแม่น้ำสาละวินซ้ำ แจ้งเตือนเป็นทางการ

Facebook X (Twitter) Instagram
ไทยแลนด์ไทมส์
Facebook X (Twitter) Instagram Pinterest
  • หน้าแรก
  • ประเทศไทย
  • การเมือง
  • เศรษฐศาสตร์
  • กีฬา
  • บันเทิง
  • เทคโนโลยี
  • ไลฟ์สไตล์
  • ข่าวประชาสัมพันธ์
  • กำลังมาแรง
ไทยแลนด์ไทมส์
You are at:Home » สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว เสนอพิมพ์เขียว 3 ระบบพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย
การเมือง

สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว เสนอพิมพ์เขียว 3 ระบบพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย

ห้องข่าวโดย ห้องข่าวตุลาคม 30, 20252 อ่านนาที
แบ่งปัน Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email

“อภิสิทธิ์” ชี้ 5 จุดอ่อนท่องเที่ยวต้องเร่งแก้ไขและปรับตัว ด้านสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเสนอพิมพ์เขียว 3 ระบบพลิกโฉมสู่ Data-Driven Tourism ถึงเวลาขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

วันที่ 29 ตุลาคม 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การท่องเที่ยวกับอนาคตประเทศไทย” ต่อสมาชิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) โดยได้ชี้ถึง 5 จุดอ่อนสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข พร้อมรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคเอกชนเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยจากประเทศท่องเที่ยวที่สวย เป็นประเทศท่องเที่ยวที่ฉลาดและยั่งยืนในทศวรรษหน้า

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แม้การท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจ แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยความท้าทายหลักที่ต้องเร่งแก้ไขมี 5 ประการ

1. การปรับตัวตามกระแสโลกและพฤติกรรมนักท่องเที่ยว เมื่อทิศทางการท่องเที่ยวโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่พึ่งพานักท่องเที่ยวแบบหมู่คณะใหญ่ ปัจจุบันแนวโน้มได้ปรับเข้าสู่กลุ่มขนาดเล็กและอิสระมากขึ้น รัฐบาลและผู้ประกอบการจำเป็นต้องร่วมกันกำหนดมาตรการเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

2. กระแสโลกได้ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติและความยั่งยืน จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ขาดไม่ได้ รัฐบาลจึงควรหาแนวทางช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กให้สามารถพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินงานตามมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืนให้ดียิ่งขึ้น

3. ภายหลังวิกฤตโควิด-19 ภาคแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังคงได้รับผลกระทบ ดังนั้นการเร่งเพิ่มพูนทักษะ (Upskill) ให้แก่แรงงาน โดยเฉพาะการทำความเข้าใจและสร้างทักษะที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นภารกิจสำคัญ ซึ่งการยกระดับคุณภาพแรงงานนอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว ยังช่วยลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการเรื่องการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ได้อีกทาง

4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเมืองรอง จะเป็นการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ การพัฒนาเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจจึงเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่เมืองรองหลายแห่งยังคงมีโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ทรุดโทรม การเข้าถึงไม่สะดวก รัฐบาลจึงต้องเร่งปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวและระบบคมนาคมขนส่ง พร้อมวางแผนเชื่อมโยงการเดินทางในรูปแบบต่าง ๆ ให้เข้าถึงได้อย่างสะดวกมากขึ้น

5. การทำการตลาดของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเต็มที่และทันต่อยุคสมัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับปรุงแนวทางการสื่อสาร ผ่านการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่น ๆ ให้มีประสิทธิภาพและเป็นสากลมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

เสนอยุทธศาสตร์ปฏิรูปท่องเที่ยว

ขณะเดียวกัน สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ได้เสนอแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาว 3 เรื่องหลัก เพื่อให้พรรคการเมืองนำไปพิจารณาเป็นนโยบายปฏิรูปภาคท่องเที่ยว โดยชี้ถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพา “Tourism Campaign” ชั่วคราว สู่การสร้าง “Tourism System” ที่มีการบริหารจัดการด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง

ถึงเวลาขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

ATTA ชี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่การท่องเที่ยวไทยต้องก้าวข้ามการวัดผลแบบ “นับหัว” (Quantity) ไปสู่การบริหารจัดการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Tourism Policy) โดยเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง National Tourism Intelligence Platform ขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็น “สมองกลางของการท่องเที่ยว” แพลตฟอร์มนี้จะมีภารกิจหลักในการรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์จากแหล่งข้อมูลสำคัญหลากหลายมิติ อาทิ ข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมือง สายการบิน OTA ข้อมูลบัตรเครดิต และโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรม รูปแบบการใช้จ่าย เส้นทางเดินทาง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถคาดการณ์แนวโน้มการเดินทางล่วงหน้าของตลาดเป้าหมายหลัก (เช่น จีน, อินเดีย, อาเซียน) ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถนำไปใช้วางระบบ “Carrying Capacity” และ “Risk Map” ของแต่ละจังหวัด เพื่อป้องกันปัญหาการท่องเที่ยวล้นเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

แนะจัดโซนบริหาร

ATTA ยังได้เสนอให้รัฐบาลออกแบบ “Tourism Management Zone” โดยให้แต่ละภูมิภาคมี “Regional Tourism Board” ที่มีอำนาจในการตัดสินใจด้านงบประมาณ แผนงาน และการบริหารทรัพยากรในพื้นที่อย่างแท้จริง ซึ่งคณะกรรมการจะต้องประกอบด้วยการมีส่วนร่วมของ 3 ภาคส่วนหลัก คือ รัฐ–เอกชน–ชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนจากการสั่งการจากส่วนกลางไปสู่การบริหารแบบร่วมมือระดับพื้นที่

 มี “Tourism CEO” แต่ละภูมิภาค

ในโครงสร้างใหม่นี้ ATTA เสนอให้มีการกำหนดและแต่งตั้ง “Tourism CEO” ในแต่ละภูมิภาค ซึ่งต้องมีตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ที่ชัดเจนด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน พร้อมกันนี้ยังต้องปรับบทบาทของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. จากการเป็น “ผู้จัดงาน” มาเป็น “ผู้กำหนดมาตรฐานและกลไกสนับสนุน” การบริหารจัดการในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง นอกจากนี้ รัฐบาลควรใช้ระบบงบประมาณแบบ “Matching Fund” เพื่อกระตุ้นให้เอกชนและท้องถิ่นเข้ามาร่วมลงทุน และสร้างความเป็นเจ้าของในพื้นที่นั้น ๆ อย่างยั่งยืน

เสนอตั้งสถาบันพัฒนาแรงงาน

สำหรับข้อเสนอสุดท้ายมุ่งเน้นที่การลงทุนในทุนมนุษย์และการสร้างระบบความเชื่อมั่นในระยะยาว โดยย้ำว่า เศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยในระยะต่อไปต้องอาศัย ความเชื่อมั่น ของนักท่องเที่ยวมากกว่าการโฆษณาเพียงอย่างเดียว จึงเสนอให้จัดตั้งสถาบันเพื่อทำหน้าที่พัฒนาและ รับรองมาตรฐานแรงงานท่องเที่ยว ทั้งระบบ โดยเน้นการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลและ AI (Digital & AI Skill) ผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและองค์กรนานาชาติ เช่น WTTC และ UNWTO การลงทุนดังกล่าวจะครอบคลุมถึงการใช้โมเดล “Lifelong Learning Credit” เพื่อให้แรงงานสามารถสะสมหน่วยกิตและพัฒนาทักษะตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาระบบ “Tourism Trust Mark” สำหรับผู้ประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านความปลอดภัย ความยั่งยืน และจริยธรรม เพื่อใช้ในการส่งเสริมแบรนด์ “Safe & Trusted Thailand” ให้เป็นแบรนด์กลางและภาพลักษณ์หลักของประเทศอย่างเป็นระบบ

ATTA สรุปทิ้งท้ายด้วยว่า หากรัฐบาลมีความกล้าหาญในการสร้างระบบทั้งสามนี้พร้อมกัน ประเทศไทยจะสามารถก้าวจาก “ประเทศท่องเที่ยวที่สวย” ไปเป็น “ประเทศท่องเที่ยวที่ฉลาดและยั่งยืน” ได้อย่างแท้จริงในทศวรรษหน้า

แบ่งปัน. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“โสภณ ซารัมย์” ซัดแรงเรื่องนอมินี ทุกพรรคมีหมด ถามเป็นคนบุรีรัมย์เสียหายตรงไหน

ตุลาคม 30, 2025

นายกรัฐมนตรี ปลื้ม กระแส “โครงการคนละครึ่งพลัส” คึกคัก วันแรกสร้างยอดใช้จ่ายรวมทะลุ 700 ล้านบาท

ตุลาคม 30, 2025

“ณัฐพงษ์” หารือหน่วยงานความมั่นคงสิงคโปร์ เสนอรัฐบาลตั้ง ฉก. ปราบสแกมเมอร์อย่างเป็นระบบ

ตุลาคม 30, 2025
ข่าวเด่น

JongFlow Launches International Version of Digital Management Solution for Billiards Clubs, Promoting Technology Democratization with Chinese Expertise

ตุลาคม 9, 202534 Views

Mars Petcare ศูนย์พักพิงเปิดตัวโครงการริเริ่มการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม

ตุลาคม 10, 202511 Views

Galaxy Resorts เรียกร้องให้มีกลยุทธ์หรูหราเพื่อเพิ่มการเติบโตสูงสุด

สิงหาคม 6, 202511 Views
ข่าวล่าสุด

“ณัฐพงษ์” หารือหน่วยงานความมั่นคงสิงคโปร์ เสนอรัฐบาลตั้ง ฉก. ปราบสแกมเมอร์อย่างเป็นระบบ

โดย ห้องข่าวตุลาคม 30, 2025

เตือนอากาศแปรปรวน บริเวณประเทศไทย เช็กจังหวัดได้รับผลกระทบ 30 ต.ค. – 2 พ.ย.

โดย ห้องข่าวตุลาคม 30, 2025

“นฤมล” หนุนสวัสดิการบ้านพักครู เตรียมปรับปรุง 14,900 หลัง เฟสแรกเริ่มปีนี้

โดย ห้องข่าวตุลาคม 30, 2025
© 2025 ไทยแลนด์ไทมส์. สงวนลิขสิทธิ์.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • ข้อกำหนดการใช้งาน
  • ติดต่อ

Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

Sign In or Register

Welcome Back!

Login to your account below.

Lost password?