สงครามแฉความเละตุ้มเป๊ะในวงการตำรวจ ยังคงเดินหน้าต่อไป กระทบต่อกระบวนการยุติธรรม และการปกครองของประเทศ นักแฉรายล่าสุดได้แก่ทนายชื่อดัง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน แฉว่ามีขบวนการเรียกรับส่วยในวงการตำรวจ ตัวละครสำคัญคือดาบยาว

มีหน้าที่รวบรวมส่วยขั้นต้นทั้งหมด ส่งไปยัง “รองฟาง” คนสนิทของนายตำรวจใหญ่ยศ พล.ต.อ. เป็นส่วยที่รีดจากบรรดาธุรกิจสีเทา ได้แก่ เว็บพนัน บ่อนการพนัน หวยใต้ดิน สถานบันเทิง ร้านนวดแฝงขายบริการ โรงซาวน่า ร้านรับซื้อน้ำมันเถื่อนโคมแดง การขายยาเซ็กซ์ และอื่นๆอีกมาก

ส่วยที่รวบรวมได้จะโอนเข้าบัญชีที่ใช้นามสกุล พล.ต.อ. เป็นภรรยา เป็นพี่สาว หรือพี่ชาย แต่ละสายส่งส่วยเดือนละ 8–9 ล้านบาท รวมส่งไปยังนายตำรวจใหญ่เดือนละ 100 ล้านบาท และยังโอนเงินให้สมาคมสื่อมวลชนด้วย เมื่อถูกสมาคมสื่อมวลชนต่อว่าทำให้เสียชื่อ “ทนายตั้ม” ยืนยันชื่ออุปนายกสมาคมผู้รับส่วย

รายการนี้จะไม่เสียหายแต่เฉพาะวงการตำรวจ แต่ยังลามถึงสื่อมวลชนด้วย พฤติการณ์ที่มีการแฉติดต่อกันมาเป็นลำดับ เช่นเรื่องที่ถูกตีความ กฎหมายไทยห้ามออกหมายเรียก เพื่อให้นายตำรวจระดับ พล.ต.อ.ไปรับทราบข้อหาทางอาญาร้ายแรง เช่นข้อหาสมคบกันฟอกเงิน หรือถูกกล่าวหาอาญาร้ายแรง

เช่นโดนข้อหา ป.อาญา ม.157 ฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือข้อหา ป.อาญา ม.149 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนหรือส่วยต่างๆ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ความผิดที่มีการกล่าวหากันอยู่ขณะนี้ โทษสูงสุดถึงประหาร

แต่ตำรวจระดับบิ๊กๆอาจถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย เพราะไม่มีแม้แต่หมายเรียก หรือหมายจับ กระบวนการยุติธรรมถูกละเลยหรือย่ำยี ตั้งแต่ระดับตำรวจ ซึ่งเป็นต้นธารกระบวนการยุติธรรม จนถึงระดับประเทศ ผู้มีอำนาจก็ไม่ต้องรับโทษใดๆ เพราะคุกไม่มีไว้เพื่อขังผู้มีอำนาจ

ตำรวจในประเทศเผด็จการ ที่เรียกกันว่า “รัฐตำรวจ” มักถูกกล่าวหากดขี่ข่มเหงชาวบ้าน แต่ตำรวจไทยมักโดนข้อหารับสารพัดส่วยที่เกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นหวย ซ่อง บ่อนการพนัน แหล่งค้ายาบ้า ขอเอาใจช่วยให้ “ทนายตั้ม” ปราบส่วยสีกากีให้สำเร็จ อาจเป็นก้าวสำคัญสู่ประชาธิปไตย.

คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม

แบ่งปัน.
Exit mobile version