เผยแพร่ : 29 เมษายน 2567 เวลา 19:45 น
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) กล่าวว่า หากรัฐบาลขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายวันเป็น 400 บาททั่วประเทศ อาจส่งผลให้ GDP เติบโตในอัตราต่ำกว่า 2.6% และเพิ่มอัตราเงินเฟ้อเป็น 3% ส่งผลกระทบต่อ กำลังซื้อของผู้บริโภค
ธนวัฒน์ พรวิชัย ประธาน สทป. เปิดเผยว่า จากการสำรวจผู้ประกอบการ 403 รายทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 22-26 เม.ย. ประกอบด้วย การผลิต (36.9%) การค้า (33%) และภาคบริการ (30.1%) พบว่า โดยค่าจ้างขั้นต่ำรายวันที่เหมาะสมคือ 370 บาทต่อวัน
การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายวันเป็น 400 บาทต่อวัน จะทำให้ผู้ประกอบการ 70% โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกังวลมาก ขณะที่ 30% มีความกังวลน้อยลง
ภาคเอกชนมีความกังวลว่าต้นทุนการผลิตจะเพิ่มขึ้นและกำไรจะลดลงเนื่องจากยอดขายลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการมีแนวโน้มเปลี่ยนภาระการขึ้นค่าจ้างโดยขึ้นราคาสินค้าซึ่งจะมีผลกระทบ เกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ
เนื่องจากประเทศไทยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างมากถึง 40% ในปี 2553 จึงยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากภาครัฐเกี่ยวกับผลกระทบเชิงบวกใดๆ นอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ตามข้อมูลของ UTCC
การปรับขึ้นค่าจ้างจะส่งผลกระทบต่อคนงานอย่างน้อย 7.5 ล้านคน และจะทำให้ภาคเอกชนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 9 พันล้านบาทต่อเดือน หรือ 300 ล้านบาทต่อวัน แม้ว่าคนงานจะได้เงินมากขึ้น แต่การเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์อาจทำให้กำลังซื้อของพวกเขาลดลง
คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 2.5% ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.6% อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับขึ้นค่าจ้างเพียง 10 จังหวัดนำร่อง ผลกระทบของเงินเฟ้อก็น่าจะมีเพียงเล็กน้อย
การปรับขึ้นค่าจ้างเป็น 400 บาทต่อวันสำหรับทุกจังหวัดมากกว่าพื้นที่ที่เลือกจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1% เป็น 3% ในปีนี้ และการปรับนโยบายนี้จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศและความสามารถในการแข่งขัน
การปรับขึ้นค่าจ้างสม่ำเสมอจาก 350 บาทเป็น 400 บาทต่อวัน จะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำรายวันของไทยสูงที่สุดในอาเซียน ยกเว้นสิงคโปร์และบรูไน ค่าแรงขั้นต่ำรายวันของมาเลเซียอยู่ที่ 392 บาทต่อวัน รองลงมาคือเวียดนาม (230 บาทต่อวัน) ฟิลิปปินส์ (360 บาทต่อวัน) และอินโดนีเซีย (350 บาทต่อวัน)
จากการสำรวจของ UTCC คาดว่า ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 จะมีเงินหมุนเวียน 2.12 พันล้านบาท