สำนักข่าวต่างประเทศ เปิดเผยผลการสำรวจของ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน จำนวนประชากรจีนในปี 2566 ลดลงไป 2.08 ล้านคน หรือ 0.15% อยู่ที่ 1,409 ล้านคน ปี 2565 ประชากรจีนลดลง 8.5 แสนคน ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากปัญหาโรคระบาดที่ทำให้ประชากรจีนลดลง ยอดการเสียชีวิต ของคนจีนปี 2566 อยู่ที่ 11.1 ล้านคน หรือ 6.6% ในขณะที่ เด็กเกิดใหม่ของจีน ลดลงไปที่ร้อยละ 5.7 อยู่ที่ 9.02 ล้านคน จะเห็นว่าอัตราคนตายมากกว่าคนเกิด ระหว่างปี 2524-2558 จีนออกมาตรการการควบคุมการมีบุตร เช่น นโยบายลูกคนเดียวเพราะมองว่าอัตราการเกิดเกินความพอดี จากนั้นมานโยบายนี้มีส่วนทำให้ประชากรจีนลดลงเช่นกัน
สรุปว่า จีนมีอัตราการเกิด 6.39 ต่อประชากร 1,000 คน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น มีอัตราการเกิดที่ 6.3 ต่อประชากร 1,000 คน เกาหลีใต้ 4.9 ต่อประชากร 1,000 คน ทั้งนี้ ปัญหาเศรษฐกิจก็มีส่วนในการตัดสินใจการมีบุตรมากขึ้น หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการดำรงชีวิตของประชากรเปลี่ยนไปอย่างมาก
ปรากฏว่า ในปัจจุบันประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกกลายเป็น อินเดีย อยู่ที่ประมาณ 1,429 ล้านคน ประเทศที่กำลังมีปัญหาเรื่องอัตราการเกิดของประชากรไม่แพ้จีนก็คือ ญี่ปุ่น แต่จีนดีกว่าญี่ปุ่นก็คือ สัดส่วนคนวัยทำงานมากกว่าญี่ปุ่น โดยเฉพาะปัญหาของสังคมของผู้สูงอายุในญี่ปุ่นและอัตราการเกิดที่ลดลงกว่า 8 แสนคน ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1.56 ล้านคน เท่ากับเด็กเกิดใหม่ ไม่ถึงครึ่งของผู้เสียชีวิต คนวัยทำงานลดลงทำให้ญี่ปุ่นต้องใช้แรงงานจากต่างประเทศมากขึ้น ปีที่ผ่านมามีไม่น้อยกว่า 3.4 แสนคน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำงานในญี่ปุ่น
ที่น่าตกใจคือ ประชากรญี่ปุ่น 1 ใน 1,500 คน อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ปริมาณ คุณภาพ และประสิทธิภาพของประชากร เป็นส่วนสำคัญของปัจจัยการเติบโตเศรษฐกิจและการลงทุน คนมาก กำลังซื้อภายในมาก การสร้างงานมาก การผลิตมาก เศรษฐกิจก็ขยายตัว เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามากกว่าไหลออก
ที่ต้องจับตาคือ ฐานการลงทุนที่กำลังตัดสินใจเลือกระหว่าง อินเดียกับจีน ที่มีขนาดประชากรใกล้เคียงกัน ที่น่าสังเกตก็คือ ประชากรอินเดียเริ่มย้ายฐานการทำงานออกนอกประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะแรงงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ตลาดมีความต้องการมากขึ้น
กลายเป็นว่า ทุกประเทศกำลังแข่งกันซื้อตัวแรงงานที่คุณภาพและทักษะชั้นสูง ดังนั้น แต่ละประเทศเร่งฝึกทักษะแรงงานมีฝีมือ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและเป็นแหล่งรายได้เข้าประเทศมากกว่าจะมาขายทรัพยากรเก่าๆ
ครม.ที่ผ่านมาอนุมัติงบให้ สพฐ. หรือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก่อหนี้ผูกพันกว่า 1.5 หมื่นล้าน เป็นงบปี 2568-2572 ในการเช่า แท็บเล็ต–โน้ตบุ๊ก จำนวน 6 แสนเครื่อง ภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา และยังเปิดช่องให้สามารถปรับเปลี่ยนอุปกรณ์การเรียนการสอนของโครงการให้ทันสมัยด้วย ใน 5 ปีนี้ มีโอกาสที่จะของบในการอัปเดตซอฟต์แวร์ได้แบบรัวๆ
ณ จุดนี้ คนไทยสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตร้อยละ 80 ที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ร้อยละ 20 ส่วนใหญ่จะเข้าใช้ยูทูบ เพจเฟซบุ๊ก ติ๊กต่อก ที่มีคนเข้าถึงแพลตฟอร์มละประมาณ 44 ล้านคน นึกถึงอนาคตคุณภาพประชากรไทยแล้วใจหาย
มีแต่ปริมาณไม่มีคุณภาพก็ไร้ประสิทธิภาพ.
หมัดเหล็ก
[email protected]
คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม